ปวดกล้ามเนื้อ อาการไม่รุนแรง เรื้อรังแถมยังสร้างความรำคาญให้กับคนวัยทำงาน
ปวดกล้ามเนื้อ การปวดกล้ามเนื้อมักพบบ่อยอ โดยส่วนมากแล้วพบกับคนที่กำลังอยู่ในวัยทำงาน การปวดกล้ามเนื้อจะแสดงอาการของโรคมากมาย อันได้แก่ปวดหัว ปวดชายโครง ปวดต้นคอ ปวดสะบัก ปวดเอว ปวดน่อง ปวดสะโพก ปวดเท้า เมื่อยหรือเป็นตะคริวเป็นต้น หากไม่รักษาหรือมีการรักษาถูกวิธี อาการเหล่านี้มักจะเป็นอาการที่เรื้อรัง และทั้งนี้อาการดังกล่าว ก็เป็นสาเหตุของกระบวนการของกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังคด โดยกระดูกสันหลังเสื่อมนั้นเป็นอันตรายถึงการเป็นอัมพาตได้
สาเหตุของการปวดกล้ามเนื้อ เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อให้ทำงานหนักมากเกินไป หรือแม้แต่การฉีกขาดของใยกล้ามเนื้อเล็กน้อย แล้วทำให้มีการรั่วไหลของสารกระตุ้น ให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นๆ มีการขาดเลือดและมีของเสียคั่งค้างในกล้ามเนื้อ ซึ่งมันจะไปกระตุ้นระบบประสาท เกิดกลไกลให้กล้ามเนื้อเกร็งมากขึ้น จนมีอาการปวดและอาจรุนแรงกระจายไปทั่ว โดยสาเหตุปัจจัยที่คนวัยทำงานมีอาการ ปวดกล้ามเนื้อ อันเกิดจากพฤติกรรมและลักษณะการทำงานเดิมซ้ำๆเป็นเวลานานๆ โดยกลุ่มวัยในอาชีพดังนี้ที่ควรระวัง
1.คนงานในกระบวนการผลิตที่ต้อง นั่งนาน ยืนนาน
2.แน่นอนพนักงานออฟฟิศเช่น สาวๆบัญชี พนักงานเสมียนหรือแอดมิน (Admin)
3.พนักงานธนาคาร เจ้าหน้าที่นั่งนับเงินเป็นเวลานาน
4.คนขับรถ จะเป็นรถสิบล้อ รถโดยสารทั่วไปหรือรถเมล์ของรัฐ
5.หรือจะเป็นพนักงานบนเครื่องจักรที่ต้องนั่งขันเครน หรือจะเป็นนักบินก็มีความเสี่ยง
6.แม้แต่จะเป็นครูอาจารย์ หมอ พยาบาลที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานเป็นเวลานาน
7. ยังมีอาชีพอื่นๆ อีกมากมายที่ยังคงใช้กล้ามเนื้อ เกินกำลังความสามารถของมัน
ทุกๆอาชีพก็มีโอกาสมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ได้เช่นกัน หากใช้ร่างกายใช้กล้ามเนื้อไม่สมดล การให้กล้ามเนื้อทำงานหนักมากจนเกินไป
อาการปวดกล้ามเนื้อ
มีทั้งแบบปวดเฉพาะที่จุดปวดหรือปวดแบบลุกลามไปยังกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ อาจปวดลึกๆ ปวดร้าวไปที่อื่นอาทิเช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ ปวดเกร็งจะเป็นตะคริว โดยการแสดงอาการของการอาการปวดกล้ามเนื้อ มีดังนี้
-
เวลาปวดอาจเป็นเวลาทำงานหรือเวลาพัก
-
ความรุนแรงมีตั้งแต่เมื่อยล้าไปจนถึงปวดทรมาน รู้สึกปวดแสบร้อนเป็นตะคริว บางรายมีอาการชามือและขา เนื่องจากกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท
-
ความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายเช่น ไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน หลังบ่าตกเป็นต้น
-
ส่งผลถึงระบบประสาทเช่น เหงื่อออก เวียนหัว น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำลายมาก ปวดศีรษะเวียนศีรษะกังวลซึมเศร้า
-
จุด ปวดมี 2 แบบคือจุดปวดที่มีอาการและจุดปวดแสงโดยจะแสดงอาการ เมื่อถูกกระตุ้น
การักษาปวดกล้ามเนื้อ
1.การฉีดยาที่จุดตรวจ เป็นการรักษาที่ง่ายและสามารถทำซ้ำได้ แต่ต้องรักษาให้กล้ามเนื้อโดยรอบนั้นหาย เพราะหากฉีดยาไม่ตรงจุดอาการปวดอาจเพิ่มมากขึ้น
2.การพ่นสเปรย์เพื่อให้ความเย็นบนกล้ามเนื้อตามด้วยการยืดกล้ามเนื้อ
3.การรักษาด้วยความร้อนการประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อนแช่ในอ่างน้ำอุ่นและเครื่องมือแพทย์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและหลอดเลือดใหม่ ไหลเวียนได้ดีขึ้น
4. การนวดมีการนวดแบบกดจุด ด้วยการยึดคลายเส้น เพื่อลดอาการขัดเข็มขัดยอกของกล้ามเนื้อ
5.การรักษาด้วยไฟฟ้า มีแบบทั้งการกระตุ้นกล้ามเนื้อและการกระตุ้นประสาท ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้ร่วมกับการฝังเข็ม ซึ่งการฝังเข็มสามารถรักษาอาการเจ็บปวดและซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ของร่างกายให้เป็นปกติได้
6. การใช้ยา ยาแก้ปวดยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบ ยานวดเป็นต้น
7. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมท่าทางการทำงานต่างๆ หาอุปกรณ์ที่เหมาะสม ช่วย การทำงานหนักซ้ำซ้ำต้องมีเวลาพักและได้ ยืดเส้นบ้าง
8.การบริหารและการฟื้นฟูสมรรถภาพกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกายและสามารถช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้
การบริหารร่างกายแบบง่ายๆ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของกล้ามเนื้อ
แบ่งการบริหารกล้ามเนื้อแขนและคอ
1.ท่าบริหารไหล่ : ท่าเตรียม ยืนและศีรษะตรง ใช้มือทั้งสองประสานกันให้อยู่บนเหนือศรีษะ หันฝ่ามือขึ้น แล้ว เหยียดแขนขึ้นข้างบนให้สุด และเอนไปข้างหลัง หลังจากนั้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงกลับสู่ท่าเตรียมผ่อนคลายและทำซ้ำ 5 รอบ
2.ท่าบริหารต้นแขน : ท่าเตรียม ยืนหรือนั่งตัวตรง ตั้งศีรษะให้ตรง แล้วใช้มือประสานกันข้างหน้าในระดับไหล่ แล้วหันฝ่ามือออกข้างหน้า หลังจากนั้น เหยียดแขนไปข้างหน้า ในระดับไหล่จนสุดแขน แล้วก้มศรีษะค้างไว้ ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงกลับสู่ท่าเตรียม ผ่อนคลายและทำซ้ำ 5 รอบ
3. ท่าบริหารสะบัก : ท่าเตรียม ยืนหรือนั่ง ทำตัวให้ตรง ตั้งศีรษะตรง ใช้มือทั้งสองประสานกันข้างหลัง หันฝ่ามือออกจากลำตัว เหยียดแขนให้ตรง หลังจากนั้น ยกแขนขึ้นให้สุด เท่าที่สามารถจะทำได้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงกลับสู่ท่าเตรียม ผ่อนคลายและทำซ้ำ 5 รอบ
การบริหารลำตัว –หลัง- ขา
4. ท่ายืดท้องแขน ยกแขนขึ้น : ท่าเตรียม งอข้อศอกด้านใดด้านหนึงไปด้านหลัง หลังจากนั้นใช้แขนและมือฝั่งตรงข้ามดึงข้อศอกไปด้านหลังให้ตึงสูงสดุ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงกลับสู่ท่าเตรียม ผ่อนคลายและทำซ้ำ 5 รอบ
5. ท่ายืดกล้ามเนื้อสะบักเหยียดแขนไขว้ไปฝั่งตรงข้าม ใช้แขนอีกข้างงอศอกล็อคและออกแรงดึงไปฝั่งตรงข้ามค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ผ่อนคลายและทำซ้ำทำซ้ำ 5 รอบ
6. ท่ายืดกล้ามเนื้อบ่าเอียงศีรษะไปด้านข้างใช้มือข้างเดียวกับที่เอียงไปช่วยดึงศีรษะไป มืออีกข้างจับขอบเก้าอี้ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ผ่อนคลายและทำซ้ำ 5 รอบ
การบริหารและการฟื้นฟูสภาพของกล้ามเนื้อ นั้นเป็นการดูแลและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากกล้ามเนื้อ จะมีความยืดหยุ่นผ่อนคลาย และเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง โอกาสที่จะกลับมาปวดเมื่อยก็น้อยลง อาการปวดกล้ามเนื้อ จะหายเองได้ด้วยตัวเองเพื่อตัวเราเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www. s-spinehospital.com
โรงพยาบาล 2 www. aikchol.com
www. Health-th.com