วิธีเลือกหุ้น ทำนายกิจการด้วยการวิเคราะห์งบทางการเงิน
วิธีเลือกหุ้น มีความจำเป็นต้องอาศัยตัวเลขทางการเงิน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนกับกิจการ โดยมีเทคนิคในการด้วยการวิเคราะห์งบทางการเงิน ดังนี้
วิธีเลือกหุ้น จากการตรวจสอบงบดุล
Balance Sheet Equations: สูตรคำนวณงบดุล
- เงินสดและเงินฝากสถาบันการเงิน= รวมหนี้สิน – สินทรัพย์หมุนเวียน – สินทรัพย์ถาวรสุทธิ
- สินทรัพย์หมุนเวียน = สินทรัพย์หมุนเวียน/ยอดขาย * ยอดขาย
- สินทรัพย์ถาวรสุทธิ = สินทรัพย์ถาวรสุทธิ /ยอดขาย * ยอดขาย
- ค่าเสื่อมราคาสะสม = (ค่าเสื่อมราคาสะสมปีก่อนหน้า +อัตราคาเสื่อมราคา) *ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ถาวรตลอดปี
- สินทรัพย์ถาวรราคา ณ วันที่ซื้อสินทรัพย์มา = สินทรัพย์ถาวรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคาสะสม
- หนี้สินหมุนเวียน = หนี้สินหมุนเวียน/ยอดขาย * ยอดขาย
- Debt (หนี้สินระยะยาว) : สมมติว่าคงที่
- Stock (ทุนเรือนหุ้น) : คงที่หากไม่มีการเพิ่มหุ้น
- กำไรสะสม = กำไรสะสมปีก่อนหน้า + กำไรสะสมปีปัจจุบัน
วิธีตรวจสอบงบดุล
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
- ให้ตรวจสอบงบดุลของกิจการว่า สมดุลหรือไม่ เพื่อดูความถูกต้องของงบดุล
- ให้ตรวจสอบจำนวนทรัพย์สิน และตรวจสอบกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ว่าเป็นของใคร ถ้าเป็นของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัทนั้นๆ ก็ต้องนำรายการสินทรัพย์นั้นออกจากงบดุล
- มูลค่าสุทธิของสินทรัพย์ที่ปรากฏค่าเสื่อม เช่น รถยนต์ อาคาร อุปกรณ์ ในปีล่าสุดเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าจะลดลง ทั้งนี้ต้องตรวจสอบว่ามูลค่าที่ลดลงต้องลดลงเท่ากับค่าเสื่อมราคาที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุนในช่วงหลังนี้ เช่น งบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม ปรากฏมูลค่าสินทรัพย์ (รถยนต์ อาคาร อุปกรณ์) ลดลงจะต้องดูค่าเสื่อมราคาในงบดุลงวด 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ว่าสินทรัพย์มีมูลค่าลดลงเท่ากับค่าเสื่อมราคาหรือไม่
- สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในรายการใหม่ให้ตรวจสอบกรรมสิทธิ์ตามข้อ 2) และตรวจสอบหลักฐานการซื้อ เพื่อดูว่าการลงมูลค่าได้ลงถูกต้องตรงกับหลักฐานการซื้อหรือไม่
- ให้ตรวจสอบภาระหนี้สินทั้งหมดว่าถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ โดยภาระหนี้สินจะต้องเป็นภาระที่ผูกพันกันเฉพาะในนามของบริษัทเท่านั้น หากเป็นภาระหนี้สินในนามอื่นๆ ก็ให้เอาออกจากงบดุล การตรวจสอบภาระหนี้สินให้ทำการตรวจสอบสัญญาเงินกู้ ใบวางบิล ใบสั่งซื้อ ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นต้น
- ให้ตรวจสอบทุนจดทะเบียนในหนังสือรับรองของบริษัทที่จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ แต่อย่าเพิ่งเชื่อในจำนวนเงินที่จดทะเบียนที่แจ้งไว้นั้น
- วิธีการที่ดีที่สุดขอให้ตรวจสอบส่วนทุนของกิจการ และเมื่อได้ส่วนทุนแล้ว ขอให้หักทุนจดทะเบียนตามหนังสือรับรองออก ก็จะได้กำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม
- การตรวจสอบทุนจดทะเบียนที่ถูกต้องตามหนังสือรับรอง ให้ทำการตรวจสอบโดยการประมาณการเอาจากกำไรสะสม หรือขาดทุนสะสม ทั้งนี้เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มีทุนจะทะเบียนไม่ตรงกับความเป็นจริง
วิธีเลือกหุ้น จากการตรวจสอบงบกำไรขาดทุน (ง่ายกว่าการตรวจสอบงบดุล)
Income statement equations: สูตรคำนวณงบกำไรขาดทุน
- ยอดขาย = ยอดขายเริ่มต้น * (1+ อัตราการเติบโตของยอดขาย)ปี
- ต้นทุนขาย = ยอดขาย * ต้นทุนขาย/ยอดขาย
- ดอกเบี้ยจ่าย = อัตราดอกเบี้ย * ค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยทั้งปี
- ดอกเบี้ยรับจากเงินสดและเงินฝากสถาบันการเงิน= อัตราดอกเบี้ย * ค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยทั้งปี
- ค่าเสื่อมราคา = อัตราคาเสื่อมราคา * ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ถาวรทั้งปี
- Profit before taxes = กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ = ยอดขาย – ต้นทุนขาย – ดอกเบี้ยจ่าย + ดอกเบี้ยรับ – ค่าเสื่อมราคา
- ภาษี = อัตราภาษี * กำไรขั้นต้น
- กำไรสุทธิหลังหักภาษี = กำไรขั้นต้น – ภาษี
- เงินปันผล = อัตราส่วนเงินปันผล * กำไรสุทธิหลังหักภาษี
- กำไรสะสม = กำไรสุทธิหลังหักภาษี – เงินปันผล
วิธีตรวจสอบงบกำไรขาดทุน
- การตรวจสอบกำไรเบื้องต้นของกิจการ โดยใช้หลักการที่ว่า ขายได้เท่าไรนำมาเทียบเคียงกับต้นทุนสินค้า โดยไม่ต้องคิดค่าแรง หรือค่าโสหุ้ยอื่นๆ ตรงนี้เรียกว่า กำไรเบื้องต้นต่อยอดขาย
- ตรวจสอบกำไรสุทธิต่อยอดขาย โดยใช้เกณฑ์กำไรสุทธิ ในธุรกิจปกติมีเกณฑ์ดังนี้
- ธุรกิจที่ให้เครดิตลูกหนี้การค้าสั้น ได้แก่ ธุรกิจซื้อมาขายไป ซึ่งจะให้เครดิตลูกค้าประมาณ 30 วัน และได้รับกำไรสุทธิประมาณร้อยละ 2-10 ของยอดขาย
- ธุรกิจที่ให้เครดิตลูกหนี้การค้านาน ได้แก่ ธุรกิจอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ จะให้เครดิตลูกค้า 60-90 วัน และต้องได้รับกำไรสุทธิประมาณร้อยละ 15-35 ของยอดขาย
ข้อพึงระวังในการตรวจสอบงบกำไรขาดทุน
- งบกำไรขาดทุนสะท้อนภาพเท็จในธุรกิจ โดยเฉพาะงบกำไรขาดทุนที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีโดยผู้ตรวจบัญชีรับอนุญาติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบว่างบกำไรขาดทุนที่ปรากฏมีรายการที่เสียภาษีถูกต้อง รายการค่าใช้จ่ายนั้นเกินความจำเป็นของธุรกิจหรือไม่
- หากมีคนชวนลงทุนและนำเสนอประมาณการกำไรขาดทุนในโครงการซึ่งปรากฏว่าอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขายสูงจนผิดปกติ ขอให้ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารตรงประเด็นเงินเดือนพนักงานและผู้บริหารว่า หากเกิดโครงการขึ้นจริง จำนวนเงินเดือนตามประมาณการจะหาคนงานปฏิบัติงานได้จริงหรือไม่
- จากข้อ 2) หากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารถูกตรวจสอบและไม่พบรายการผิดปกติ ขอให้ตรวจสอบรายการของต้นทุนสินค้าขาย เพราะรายการนี้มีความเชื่อมโยงกับรายการสินค้าคงเหลือในงบดุลและสองรายการนี้มีความสัมพันธ์กัน โดยสามารถอธิบายธรรมชาติของระบบการผลิตในโรงงานได้ว่า ใช้ระยะเวลาเท่าไรในการผลิต ซึ่งเกี่ยวพันกับอัตราส่วนทางการเงินที่ว่า อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover)
- การตรวจสอบงบกำไรขาดทุนในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน ดังนั้นหากปรากฏว่ากำไรสุทธิติดลบ อย่าเพิ่งตกใจ จะต้องตรวจสอบและหาสาเหตุแห่งการขาดทุนให้ได้ และต้องพิจารณางบดุล ณ ขณะนั้นประกอบกันด้วย และการดูขอให้ดูส่วนทุนตรงกำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม เพื่อจะได้รู้ถึงอดีตตลอดจนความเป็นมาและความเป็นไปของกิจการทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลมาตัดสินใจดูว่าธุรกิจนั้นมีปัญหาอยู่จริงหรือไม่
วิธีเลือกหุ้น จากอัตราส่วนทางการเงินที่หยิบใช้ได้ทันที
ปัญหาลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือ เป็นปัญหาที่นำไปสู่การแก้ไขและจัดการธุรกิจ อัตราส่วนทางการเงินอีกหลายตัว จึงมีความสำคัญขึ้นมา
ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือปรากฏในงบดุลด้านสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งโดยความหมายของทั้งสองรายการ คือ รายการที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้ภายในระยะเวลา 1 ปี และรายการดังกล่าวโดยเฉพาะลูกหนี้การค้าน่าจะเป็นรายการที่มีเสถียรภาพ หรือมีความแม่นยำมากที่สุด เพราะเราได้ขายสินค้าให้กับลูกค้าไปแล้ว ดังนั้นสิทธิของเราคือการได้รับชำระหนี้ แต่ในส่วนของสินค้าคงเหลือ ยังอาจมีปัญหาอยู่ตรงที่สินค้าคงเหลืออาจขายไม่ได้ เนื่องจากการล้าสมัย ดังนั้นเมื่อลูกหนี้และสินค้าคงเหลือเกิดปัญหา จึงกระทบถึงกิจการและเกิดผลโยงใยไปสู่การปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาในกิจการมากมาย
สรุปสูตรอัตราส่วนทางการเงิน เพื่อเลือกหุ้นและทำนายกิจการที่ดี
- อัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงิน (Current Ratio)
Current Ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน
Quick Ratio = (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงคลัง) / หนี้สินหมุนเวียน
- อัตราส่วนการหมุนเวียนของลูกหนี้ (Account Receivable Turnover)
Account Receivable Turnover = ยอดขายเชื่อ / ลูกหนี้การค้า
Days Receive = 365/Account Receivable Turnover
- อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคลัง (Inventory Turnover)
Inventory Turnover = ต้นทุนสินค้าขาย / สินค้าคงคลัง
Inventory Days = 365/Inventory Turnover
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Depts to Equity Ratio)
Depts to Equity Ratio = หนี้สิน / ทุน
- อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio)
Interest Coverage Ratio = กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงิน / ดอกเบี้ยจ่าย
- อัตราส่วนกำไรเบื้องต้นต่อยอดขาย (Gross Profit Margin)
Gross Profit Margin = กำไรเบื้องต้น / ยอดขาย
- อัตราส่วนกำไรลุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin)
Net Profit Margin = กำไรสุทธิ / ยอดขาย
สรุปขั้นตอนของ วิธีเลือกหุ้น จากการทำนายกิจการ
- ให้พิจารณา Current Ratio และ Quick Ratio ว่ามีอัตราเกินกว่า 1 หรือไม่ ถ้าเกินกว่า 1 มากๆ กิจการนี้มีสภาพคล่องทางการเงินใช้ได้ในเบื้องต้น
- ทำการตรวจสอบรายการทุกรายการในสินทรัพย์หมุนเวียน โดยรายการใดพบว่าเป็นรายการแปลงเป็นเงินสดได้ยาก และเป็นรายการที่ถูกนำมาปรับปรุงบัญชีให้เกิดความถูกต้องทางกฎหมาย ขอให้นำรายการเหล่านั้นออกจากสินทรัพย์หมุนเวียน
- เมื่อทำตามข้อ 2) แล้ว ให้หา Current Ratio และ Quick Ratio อีกครั้งหนึ่ง หากผลลัพธ์ออกมาเกินหนึ่ง แสดงว่ากิจการใช้ได้ในเรื่องสภาพคล่องในเชิงมหภาค
- เป็นขั้นตอนการยืนยันว่า กิจการมีสภาพคล่องในเชิงจุลภาคจริงหรือไม่ โดยดูจากอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (Account Receivable Turnover) หากอัตราส่วนนี้หมุนรอบสูง แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของกิจการมีมาก เพราะว่ารายการลูกหนี้การค้าถือเป็นรายการหลักในการที่กิจการจะแปลงรายการมาเป็นเงินสด
- การยืนยันสภาพคล่องทางการเงินด้วย Account Receivable Turnover ยังไม่เพียงพอ ยังจำเป็นที่จะต้องยืนยันสภาพคล่องทางการเงินอีกชั้นหนึ่งด้วย อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง เพื่อดูว่าสินค้าคงเหลือนั้นมีสินค้าบางส่วนหรือส่วนใหญ่ที่อาจเป็นสินค้าเก่า หากอัตราส่วนนี้หมุนรอบสูง และให้ผลลัพธ์ตรงตามนโยบายของกิจการ แสดงว่ากิจการมีสภาพคล่องทางการเงินค่อนข้างแน่นอน
- หลังจากตรวจสอบสภาพคล่องแล้ว ต้องทำการตรวจสอบโครงสร้างการลงทุนของกิจการว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ โดยทำการตรวจสอบหนี้สินส่วนทุน (Depts to Equity Ratio) ว่าเป็นเท่าไร ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่ากิจการมีการก่อหนี้ระยะยาวเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นอันตราย ดังนั้นจึงควรปรับอัตราส่วนนี้ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2:1
- ให้ทำการพิจารณาการเติบโตของกิจการ โดยดูจากอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin) ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่า กิจการจะมีการเจริญเติบโตของสินทรัพย์สูงตามไปด้วย เพราะกำไรสุทธิที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุน จะถูกโยกไปสู่กำไรสะสมในงบดุล ทำให้สินทรัพย์ตัวเงินสดและลูกหนี้การค่าสูงขึ้นเท่ากับกำไรสุทธิที่สูงขึ้น