อัตราส่วนทางการเงิน เป็นเครื่องมือตรวจสอบความแข็งแรงบริษัท

          อัตราส่วนทางการเงิน คือเครื่องมือในการตรวจสอบความไม่ดีและดีของกิจการ อัตราส่วนทางการเงิน ที่ใช้ชั่วชีวิตของนักลงทุน ได้แก่

อัตราส่วนทางการเงิน

อัตราส่วนทางการเงิน

  1. อัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงิน (Current Ratio)

Current Ratio     =     สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน

กิจการจะปรากฏสภาพคล่องทางการเงินก็ต่อเมื่อ กิจการมีสินทรัพย์หมุนเวียนสูงกว่าหนี้สินหมุนเวียน จึงส่งผลให้ Current Ratio นี้มากกว่า 1  ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากิจการสามารถแปลงสินทรัพย์หมุนเวียนในทุกรายการ เช่น ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ฯลฯ ไปเป็นเงินสดเพื่อนำมาชำระหนี้ทั้งหมดที่ปรากฏในรายการหนี้สินหมุนเวียน

ข้อพึงระวังในการตรวจสอบ Current Ratio  ต้องให้ความสนใจมากเป็นพิเศษตรงรายการของสินทรัพย์หมุนเวียน  ซึ่งมีรายการหลักๆ 3 รายการ คือ  เงินสดและเงินฝากธนาคาร  สินค้าคงเหลือ  ลูกหนี้การค้า  รายการที่นอกเหนือคือรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางธุรกิจปกติ เช่น ลูกหนี้เงินกู้ยืมกรรมการ ซึ่งเป็นการนำเงินสดไปปล่อยกู้ให้กับกรรมการ โดยที่กรรมการนำเงินกู้ไปใช้ในกิจการส่วนตัว อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินอย่างถูกกฎหมาย แต่จะต้องมีการทำสัญญาเงินกู้ยืมเงิน (ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุ 1 ปี แต่สามารถต่อสัญญาใหม่ได้)

อีกรายการหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือ รายการค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ซึ่งเป็นรายการหนึ่งในสินทรัพย์หมุนเวียน หากมีการจ่ายเพื่อการให้ได้มาซึ่งเครื่องจักรหรืออุปกรณ์โดยเป็นการจ่ายออกไปเพียงบางส่วน ขอให้ระลึกไว้ว่า ยังจะต้องมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องชำระให้กับผู้ขายเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้น  ดังนั้นการเกิดรายการค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะส่งผลให้เงินสดของกิจการในอนาคตอันใกล้ลดลง (สินทรัพย์หมุนเวียนลดลง)  เมื่อนำเงินสดจ่ายค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ รายการเงินสดที่ลดลงรวมกับรายการค่าใช้จ่ายล่วงหน้า จะถูกเปลี่ยนไปเป็นรายการสินทรัพย์ถาวรเต็มจำนวน ทำให้ Current Ratio ลดลงทันที

  1. อัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงินอย่างถึงแก่น (Quick Ratio)

Quick Ratio     =  ( สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) /  หนี้สินหมุนเวียน

หมายความว่า สินค้าคงเหลือเป็นรายการที่ไม่ค่อยจะมีเสถียรภาพ ทั้งนี้เพราะการลงทุนในสินค้าคงเหลือมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากสินค้าอาจล้าสมัย และทำให้เสื่อมค่าได้อย่างรวดเร็ว หรือเลวร้ายกว่านั้นอาจต้องตัดเป็นการสูญเปล่าในเงินลงทุนก็ได้ ดังนั้นเมื่อสินค้าคงเหลือไม่มีความคล่องตัวหรือขาดศักยภาพในการแปลงเป็นเงินสด จึงสมควรเอาออกจากรายการของสินทรัพย์หมุนเวียนเพื่อให้สินทรัพย์หมุนเวียนเหลือแต่รายการที่มีคุณสมบัติและศักยภาพในการแปลงเป็นเงินสดได้จริงๆ

อัตราส่วน Quick Ratio  ที่ดีควรมีค่ามากกว่า 1  จึงจะสะท้อนศักยภาพในการชำระหนี้ได้ดี

  1. อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (Account Receivable Turnover)

Account Receivable Turnover  จะหมุนที่รอบถี่หรือรอบต่ำ  การหมุนรอบถี่หมายความว่า การให้เครดิตทางการค้าที่สั้นมาก  ถ้าการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้ารอบต่ำ คือการให้เครดิตนาน ดังนั้นกว่าจะได้รับชำระเงินค่าขายจึงต้องรอและลุ้นไปเรื่อยๆ  การให้เครดิตทางการค้าสามารถขจัดคู่แข่งที่มีฐานเงินทุนต่ำได้ เพราะการให้เครดิตยาวนานขึ้น กิจการต้องสำรองวัตถุดิบและเงินเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น หากคู่แข่งมีเงินลงทุนต่ำก็จะต้องปิดกิจการไปด้วยเหตุการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ในขณะเดียวกันความเสี่ยงของท่านก็สูงขึ้นจากการที่ลูกหนี้การค้าอาจมีปัญหาขึ้นได้

เทคนิคการคาดการณ์อัตราการหมุนของลูกหนี้การค้า

  • ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ากิจการนั้นเป็นกิจการที่คู่แข่งมาหรือน้อยเช่นไร และขณะเดียวกันสินค้าของกิจการเป็นสินค้าในความต้องการของตลาดหรือไม่ และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือใคร

  • การคาดการณ์จนได้คำตอบในใจแล้ว สามารถนำไปตรวจสอบงบการเงินของกิจการว่ามีทิศทางของการบริหารธุรกิจสอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่อย่างไร

สูตรการคำนวณอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้าและการตีความหมาย

Account Receivable Turnover     =     ยอดขายเชื่อ/ลูกหนี้การค้า

ยอดขายที่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุน บางงบจะแยกรายการขายเงินสดและขายเงินเชื่อออกจากกัน ให้ใช้ยอดขายเชื่อ  แต่หากกรณีงบกำไรขาดทุนไม่มีการแยกคือแสดงยอดขายรวม ก็อนุโลมให้ใช้ยอดขายทั้งหมด เพราะปัจจุบันธุรกิจเกือบทั้งหมดต้องให้เครดิตลูกค้า

ในส่วนของลูกหนี้การค้าจะปรากฏเป็นรายการในงบดุลด้านสินทรัพย์หมุนเวียน

การเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าได้จำนวนมากรอบต่อปี แสดงให้เห็นว่ากิจการมีการปล่อยเครดิตการค้าสั้น และกิจการมีคุณภาพของลูกหนี้การค้าที่ดี

อัตราส่วนทางการเงิน

  1. ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย (Days Receive)

มีความสัมพันธ์กับอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า คือ อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า บ่งบอกว่า กิจการมีลูกหนี้การค้าที่ถูกแปลงเป็นเงินสดกี่ครั้งในรอบ 1 ปี  ดังนั้นหากเราเอาระยะเวลาตลอด 1 ปีตั้ง และหารด้วยจำนวนครั้ง (รอบ) ของลูกหนี้การค้าที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ เราก็จะได้ระยะเวลาการเก็บเงินจากลูกหนี้ หรือเราจะทราบเวลาการให้เครดิตของกิจการ

Days Receive     =           365  วัน/Account Receivable Turnover

  1. อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover)

สินค้าคงคลังเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงรายการเป็นเงินและลูกหนี้การค้า อันเนื่องมาจากกิจการนำสินค้าคงเหลือออกขายโดยการขายเงินสด ก็จะปรากฏเป็นเงินเพิ่มเข้ามาในกิจการ  และการขายเงินเชื่อก็จะปรากฏเป็นลูกหนี้การค้าเพิ่มเข้ามาในกิจการ  โดยการเพิ่มขึ้นของเงินสดและลูกหนี้การค้ารวมกันจะสูงกว่ารายการของสินค้าคงเหลือที่ขายไป เพราะสินค้าคงเหลือถูกบันทึกรายการในงบดุลด้วยราคาต้นทุน ส่วนการขายที่ปรากฏยอดรายได้ในงบกำไรขาดทุนเป็นการขายที่มีส่วนต่าง

Inventory Turnover     =     ต้นทุนสินค้าขาย/  สินค้าคงคลัง

โดยที่รายการต้นทุนสินค้าขายปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุน ส่วนสินค้าคงคลังปรากฏอยู่ในงบดุล

อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังใช้ทำนายรูปแบบของการผลิต

  • Inventory Turnover รอบสูงมีความหมายว่า กิจการทำการผลิตอย่างคึกคัก

  • ถ้าตลาดดี มีคำสั่งซื้อมาก ก็จะปรากฏรอบสูง

  • ถ้าหมุนรอบต่ำ อธิบายได้ว่า สินค้าอาจอยู่ในตลาดที่ชะลอตัว ทำให้กิจการกำลังเข้าสู่ปัญหาทางการเงิน เพราะเงินลงทุนของกิจการจมอยู่ในรูปของสินค้าคงเหลือ

  • อีกกรณีหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าเกิดการผลิตสินค้าคงเหลือตามนโยบาย และยังไม่ได้จำหน่ายออกไปในรอบระยะเวลาบัญชีของปีนั้น เนื่องด้วยสินค้าคงเหลือที่ปรากฏเป็นสินค้าใหม่ต้องรอการทำตลาดในปีต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการหมุนของลูกหนี้การค้าและอัตราการหมุนของสินค้าคงคลัง

กิจการมีลูกหนี้การค้าจำนวนมาก บ่งบอกได้ถึงภาวะตลาดที่สดใส หรือบอกได้ถึงปัญหาการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าอาจเกิดขึ้น ดังนั้นต้องดูที่อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า เพื่อยืนยันและตรวจสอบไปถึงนโยบายที่กิจการปล่อยเครดิตทางการค้า  ซึ่งจะตอบได้ว่ากิจการมีลูกหนี้การค้าอยู่ในภาวะปกติหรือไม่

รายการของสินค้าคงเหลือ ถ้ามีมากเกินไป ต้องดูอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังประกอบด้วย

กรณีศึกษาความสัมพันธ์ของอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้าและอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง

  • หากอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า หมุนรอบสูง สะท้อนให้เห็นว่ากิจการอยู่ในภาวะการตลาดที่ดี และกิจการเก็บหนี้จากการปล่อยเครดิตได้ด้วย เราจะพบว่าอัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลังต้องหมุนรอบสูงด้วย

  • ความสัมพันธ์ระหว่าง Account Receivable Turnover และ  Inventory Turnover ไปในทิศทางเดียวกัน

  • หากความสัมพันธ์เกิดสวนทางกัน แสดงให้เห็นว่า

    • กรณี Account Receivable Turnover หมุนรอบสูง  แต่  Inventory Turnover  หมุนรอบต่ำ แสดงว่า กิจการขายสินค้าได้ดี และตามเก็บหนี้ได้  แต่สินค้าคงเหลือที่ปรากฏในงบดุลอาจมีสินค้าเก่าค้างสต๊อก หรือ สินค้าคงเหลือในงบดุลมีสินค้าใหม่ปะปนมา ซึ่งสินค้าใหม่นั้นถูกผลิตก่อนสิ้นงวดแต่จะทำตลาดในงวดบัญชีถัดไป จึงทำให้ Inventory Turnover ต่ำ

    • กรณีที่ Account Receivable Turnover  หมุนรอบต่ำ และ  Inventory Turnover หมุนรอบต่ำ อธิบายได้ว่า กิจการเร่งทำการผลิตเพื่อเพิ่มสต๊อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุว่าภาวะตลาดไม่สดใส แต่กิจการคาดว่าในอนาคตสินค้าที่ผลิตสะสมไว้จะขายได้ เพราะกิจการอุตสาหกรรมหากไม่ทำการผลิตก็จะขาดทุนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารทุกเดือน  ซึ่งที่จริงแล้วมีความเสี่ยงมาก

    • กรณีที่ Account Receivable Turnover  หมุนรอบต่ำ  แต่  Inventory Turnover  หมุนรอบสูง  อธิบายได้คล้ายๆ กับกรณี 2)

  1. ระยะเวลาการผลิตโดยเฉลี่ย (Inventory Days)

ต้องหามาจาก  Inventory Turnover  ก่อน

Inventory Days     =             365  วัน/Inventory Turnover

สามารถใช้ทำนายการใช้ทุนของกิจการ ว่าการลงทุนของกิจการนั้นเน้นการใช้แรงงานหรือเน้นการใช้เครื่องจักร  ถ้ามีค่าต่ำแสดงว่ามีการใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยจึงใช้เวลาการผลิตไม่สูงมากนัก

  1. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debts to Equity Ratio)

เป็นอัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่ากิจการมีสถานะความมั่นคงมากน้อยขนาดไหน พิจารณาจากสมการบัญชี

สินทรัพย์ (Assets)     =     หนี้สิน (Depts)  +   ทุน ( Equity)

การเกิดของสินทรัพย์ต้องมาจากการก่อหนี้หรือใส่ทุนเพิ่ม  อัตราส่วนนี้ยิ่งต่ำยิ่งดี คือการใช้ทุนในการสร้างสินทรัพย์ถาวรมาก  โดยเฉพาะธนาคารจะชอบอัตราส่วนนี้ต่ำๆ เพราะปลอดภัยในการให้กู้ เนื่องจากแสดงว่ากิจการมีสินทรัพย์ที่ปลอดภาระอีกมาก  อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่กิจการใส่ทุนในการดำเนินกิจการมากๆ แสดงว่า กิจการให้ความรักและใส่ใจกิจการ ดังนั้นเมื่อลงทุนไปเยอะคงจะต้องต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคจนสำเร็จให้ได้  การให้กู้ของสถาบันการเงินจึงเกี่ยวข้องกับอัตราส่วนนี้

  1. อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio)

ใช้อธิบายความสามารถในการคืนหนี้ของกิจการ มีสูตรดังนี้

Interest Coverage Ratio     =     กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี/ดอกเบี้ยจ่าย

ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่ามาก หมายถึง กิจการมีผลประกอบการเป็นกำไรในปริมาณที่สูง และมีเงินสดเหลือพอนำมาชำระดอกเบี้ยจ่ายได้  อย่างไรก็ตาม หากิจการมีอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้าต่ำ ก็อาจอธิบายได้ว่า รายได้จากการขายสินค้าของกิจการจมอยู่ในรายการลูกหนี้การค้า เพราะยอดขายที่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนเป็นยอดขายที่รวมการขายเชื่อ  ดังนั้นแม้ว่าอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้จะสูง ก็ไม่ได้หมายความว่ากิจการมีศักยภาพในการชำระดอกเบี้ยคืน

ดังนั้น จึงต้องดูอัตราส่วนนี้ควบคู่ไปกับอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ด้วย หากไม่เป็นไปตามนโยบายของกิจการ อัตราส่วนนี้ก็ไร้ความหมาย

วิธีปฏิบัติที่นิยมใช้กันและตอบได้ว่ากิจการมีความสามารถในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยการจัดทำงบประมาณกระแสเงินสดโครงการ (Cash Flow Projection)  ซึ่งแม้กิจการจะประสบปัญหา ณ ปัจจุบัน แต่กิจการอาจมีเงินสดสะสมไว้มากพอจนไม่มีปัญหาการคืนหนี้ก็ได้

  1. อัตราส่วนกำไรเบื้องต้นต่อยอดขาย (Gross Profit Margin)

Gross Profit Margin     =     กำไรเบื้องต้น/  ยอดขาย

นำข้อมูลมาจากงบกำไรขาดทุน  กำไรเบื้องต้นคือรายการของยอดขายหักออกด้วยวัตถุดิบที่ใช้ไป (ต้นทุนสินค้าขาย)  คือ ขายสินค้าออกไปเท่าไรก็ให้คิดต้นทุนสินค้าเฉพาะที่มีการขายออกไป ห้ามนับรวมสต๊อกสินค้าคงเหลือที่ยังไม่ได้ขาย

ธรรมชาติของอัตราส่วนกำไรเบื้องต้นต่อยอดขาย

  • ธุรกิจที่เน้นการใช้แรงงาน จะปรากฏกำไรเบื้องต้นในอัตราสูง โดยธุรกิจประเภทนี้จะมีต้นทุนการสินค้าขายต่ำ และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารสูง กำไรจึงไม่มากอย่างที่คิด

  • ธุรกิจที่เน้นการใช้ทุน จะปรากฏกำไรเบื้องต้นในอัตราที่ไม่สูงมากนัก เพราะต้นทุนสินค้าขายที่สูง ในขณะทิ่ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่ำ ทั้งนี้เพราะระบบการผลิตใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ใช้แรงงานน้อย

  • ธุรกิจทั้งประเภทที่เน้นการใช้แรงงานและธุรกิจที่เน้นการใช้ทุน ทั้งสองกรณีนำไปสู่การเกิดขึ้นของกำไรสุทธิที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

  • อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่เน้นการใช้ทุนมีความได้เปรียบในแง่ของการพัฒนาและวางระบบการจัดการ ดังนั้นจึงดูจะมีเสถียรภาพในการดำเนินธุรกิจมากกกว่า

  1. กำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin)

Net Profit Margin     =    ( กำไรสุทธิ  x   100 ) /ยอดขาย

ธรรมชาติของกำไรสุทธิต่อยอดขาย  จะคล้ายกับเรื่องกำไรเบื้องต้นต่อยอดขาย

การทำนายธรรมชาติของธุรกิจด้วย อัตราส่วนทางการเงิน

  1. อัตราส่วนสภาพคล่องบอกได้ว่ากิจการประสบความสำเร็จหรือไม่ และทำนายสภาพคล่องทางการเงิน

อัตราส่วนในที่นี้คือ อัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงิน (Current Ratio) และอัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงินอย่างถึงแก่น (Quick Ratio)  อัตราส่วนทั้งสองหากมีผลลัพธ์ที่สูง เช่น 2:1 , 3:1 , 4:1  หรือในทิศทางที่สูงขึ้นแสดงว่ากิจการประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง  หากกิจการอยู่ในภาวะที่กำลังประสบปัญหา และต้องการเงินทุนสำรองเพิ่ม อัตราส่วนทางการเงินทั้งสองจะต่ำกว่า 1  หรือเท่ากับหรือมากกว่านิดหน่อย ก็บอกได้แล้วว่า กิจการกำลังประสบปัญหาเงินทุนหมุนเวียน

  1. อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้การค้า (Account Receivable Turnover) บ่งบอกประเภทของตลาด ประเภทของตลาดสินค้า เช่น ตลาดผูกขาด ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ตลาดผู้ขายน้อยราย และตลาดแข่งขันสมบูรณ์  โดยแต่ละตลาดจะให้เครดิตทางการค้าไม่เหมือนกัน

  2. ระยะเวลาเก็บหนี้โดยเฉลี่ย (Days Receive) ทำนายหนี้มีปัญหาในกิจการ

ผลลัพธ์ที่ปรากฏต้องนำมาเทียบเคียงกับนโยบายเครดิตของกิจการ

  1. อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover) ใช้ทำนายลักษณะของการลงทุนและทำนายภาวะตลาดได้ด้วย

บ่งบอกได้ถึงการที่กิจการเป็นกิจการที่เน้นปัจจัยแรงงาน หรือเน้นปัจจัยทุน

  1. Inventory Days กับการทำนายระยะเวลาการผลิตสินค้าจนประทั่งนำออกขาย

  2. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Depts to Equity Ratio) ทำนายความมั่งคงของกิจการและทำนายวิธีการจัดโครงสร้างเงินลงทุนของกิจการ

  • บอกให้รู้ว่าสินทรัพย์สร้างขึ้นมาจากรายการใดเป็นสำคัญ (มาจากหนี้สินหรือส่วนทุน)

  • บอกให้รู้ว่ากิจการมีโครงสร้างของการลงทุนที่เหมาะสมหรือไม่ โดยหากกิจการมีหนี้สินส่วนทุนอยู่ในอัตราสูง ก็แสดงว่า กิจการก่อหนี้เพื่อสร้างรายการของสินทรัพย์มากกว่าใช้เงินลงทุนของตัวเอง

  • อัตราส่วนนี้ที่สูงๆ สถาบันการเงินมักไม่ยินดีปล่อยเงินกู้ เพราะกิจการมีความเสี่ยงต่อการชำระหนี้คืนธนาคาร เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ติดภาระ (สร้างขึ้นจากหนี้สิน)

  • อัตราส่วนนี้ที่สูงๆ บ่งบอกให้กิจการรู้ว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประกาศเพิ่มทุน เพื่อลดอัตราส่วนนี้ลง เพราะกิจการจะขาดโอกาสในการขอสินเชื่อเพื่อการขยายธุรกิจ และขาดศักยภาพในการฝ่าวิกฤตทางการเงินในยามที่ธุรกิจเกิดปัญหา

  • อัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 2:1 และสำหรับกิจการที่เริ่มต้นไม่ควรเกิน  5:1

  • อัตราส่วนนี้บ่งบอกนิสัยของเจ้าของธุรกิจว่าเป็นเช่นไร

บทความที่น่าสนใจ  ส่วนแบ่งทางการตลาด การกำหนดตลาดเป้าหมาย และการวางตำแหน่งทางการตลาด

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *