การวิเคราะห์งบการเงิน และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน

       ความรู้ความฉลาดทางการเงินนับได้ว่า เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน เป็นการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างกำไรจากการลงทุน  กลยุทธ์ในการเลือกลงทุนในกิจการใดๆ จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ใช้ตรวจวิเคราะห์ การบริหารและประเมินความแข็งแกร่งทางการเงิน จาก การวิเคราะห์งบการเงิน  นอกจากนี้แล้วตัวเลขทางการเงินจะสามารถทำนายความสามารถในด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ความสามารถในการหาเงิน ความสามารถในการบริหาร ความสามารถในการสร้างกำไรเป็นต้น

การวิเคราะห์งบการเงิน ที่นักลงทุนควรรู้

การวิเคราะห์งบการเงิน

การวิเคราะห์งบการเงิน

      การเป็นนักลงทุนที่ดี ต้องลงทุนด้วยความรู้ และความเข้าใจในบริษัทหรือกิจการนั้นเป็นอย่างดี  เพื่อสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้  ความรู้ทางการเงินมีดังนี้

  1. การบริหารและการจัดการทางการเงินขององค์กร

การบริหารองค์กรประกอบด้วย กิจกรรมที่เป็นวัฎจักรในรอบระยะเวลาหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนเพื่อซื้อ เครื่องจักร อุปกรณ์ และวัตถุดิบ การจ่ายเงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ และการจัดหาบริการด้านอื่น ๆ เป้าหมายของทุกองค์กรก็คือการมีรายรับมากกว่ารายจ่ายที่ลงทุนไป การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้ก็ด้วยการบริหารค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ การผลิต การขายและการบริหาร

การจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพจะทำให้องค์กรสามารถสร้างผลกำไรได้ โดยเงินลงทุนจะถูกเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของสินค้าโดยการจัดซื้อและการผลิต และจะกลับมาอยู่ในรูปของเงินอีกเมื่อขายสินค้าได้ กิจกรรมทางการเงินจะถูกบันทึกตามขั้นตอนของการลงบัญชี กิจกรรมทางการเงินเป็นส่วนสำคัญของการบริหารองค์กรและต้องการการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

  1. การบริหารการเงิน

จุดมุ่งหมายสูงสุดของทุกองค์กรก็คือ “การอยู่รอดได้และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งองค์กรจะต้องทำ 2 สิ่งนี้คือ ทำกำไร และทำให้สินค้าขายได้ ทุกองค์กรจะต้องมีการพัฒนา และการจัดระบบการบริหารทางการเงินที่ดี

ทุกองค์กรควรจะมีการวางแผนกิจกรรมที่จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ และจะต้องสามารถควบคุมให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือกล่าวได้ว่า การบริหารการเงินประกอบด้วย 2 ส่วนคือ การวางแผนการเงิน และการจัดการทางการเงิน

  1. งบการเงิน

จุดมุ่งหมายของการจัดทำรายงานทางบัญชี คือ เพื่อนำเสนอผู้บริหารถึงกิจกรรมทางการเงินขององค์กรที่บันทึกไว้ในรอบระยะเวลาหนึ่ง รายงานทางบัญชีสามารถนำเสนอข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับสถานะทางการเงินขององค์กรในปัจจุบัน และในช่วงระยะเวลาใด ๆ ในอดีต ซึ่งผู้ที่เกี่ยวกับประกอบด้วย ผู้บริหารองค์กร ผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้

เอกสารที่บอกถึงกิจกรรมการบริหาร และสถานะทางการเงินขององค์กรนี้เรียกว่า “งบการเงิน” และส่วนหลักๆ ประกอบด้วย งบดุล และงบกำไรขาดทุน

  • งบดุล

งบดุลจะบอกถึง ทรัพย์สิน หนี้สิน และเงินทุนที่องค์กรมีอยู่ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้รู้สถานะทางการเงินขององค์กร ณ เวลาหนึ่ง

สินทรัพย์ จะถูกบันทึกทางด้าน “เครดิต” ของงบดุล และแบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน สินทรัพย์ถาวร และสินทรัพย์ค้างจ่าย หนี้สินและเงินทุนจะถูกบันทึกทางด้าน “เดบิต” และแบ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียน หนี้สินระยะยาว และเงินทุนส่วนของเจ้าของ

สินทรัพย์หมุนเวียน

หนี้สินหมุนเวียน

หนี้สินระยะยาว

สินทรัพย์ถาวร

เงินทุนส่วนของเจ้าของ

การวิเคราะห์งบการเงิน จากการแปลความหมายอัตราส่วนทางการเงิน

อ้างอิง


อัตราส่วน


ความหมายของอัตราส่วน


อัตราส่วนที่เหมาะสม


สาเหตุ


(1)

ดัชนียอดขาย

เป็นการพิจารณาการเติบโตของยอดขายในระยะเวลา 3 ปี โดยให้ปีแรกสุดเป็นปีฐาน คือ ให้มีค่าเท่ากับ 100

เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

–  ยอดขายเพิ่มขึ้น

(2)

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมและส่วนของเจ้าของ

เป็นการพิจารณาว่าสถานประกอบการได้ใช้สินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อกิจกรรมการประกอบการตามเป้าหมายดั้งเดิมไปเท่าใด หรือกิจกรรมจากเงินลงทุนสุทธิของการประกอบการ ได้สร้างผลกำไรขึ้นเพียงใด

อัตราส่วนสูง

– เงินทุนประกอบการต่ำ

– กำไรประกอบการสูง

(3)

อัตราส่วนยอดขายต่อหนี้สินรวมและส่วนของเจ้าของ

เป็นการวัดความเร็วในการหมุนเวียนของทุนที่ใช้ในการประกอบการ หมายถึง วัดจำนวนรอบของยอดขายที่ทุน 1 หน่วย ก่อให้เกิดในแต่ละปี

อัตราส่วนสูง

– เงินทุนประกอบการต่ำ

– ยอดขายสูง

(4)

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขาย

เป็นอัตราส่วนสำคัญที่แสดงผลกำไรหรือประสิทธิภาพการบริหารงานของสถานประกอบการ แสดงระดับช่วงผลกำไรของบริษัท

อัตราส่วนสูง

– ยอดขายต่ำเมื่อเทียบกับผลกำไร

– ต้นทุนการผลิตต่ำ

– ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่ำ

(5)

อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อเงินทุนส่วนของเจ้าของ

เป็นการวัดดูว่าทุนส่วนของเจ้าของได้สร้างกำไรสุทธิขึ้นเท่าใด ในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนั้น ผู้บริหารมักเป็นเจ้าของกิจการเอง จึงต้องตัดสินความเหมาะสมพร้อมกับอัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อหนี้สินรวม และส่วนของเจ้าของ

อัตราส่วนสูง

– ทุนส่วนของเจ้าของต่ำ

– กำไรก่อนหักภาษี (กำไรสุทธิ) สูง

– กำไรนอกการประกอบการสูง

– ส่วนขาดทุนนอกการประกอบการต่ำ

(6)

อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อหนี้สินรวม และส่วนของเจ้าของ

เป็นการวัดกิจการได้สร้างกำไรสุทธิขึ้นเท่าใด เมื่อเทียบกับเงินทุนสุทธิที่ใช้ไป

อัตราส่วนสูง

– ทุนส่วนของเจ้าของต่ำ

–  หนี้สินรวมต่ำ

– กำไรก่อนหักภาษี (กำไรสุทธิ) สูง

– กำไรนอกการประกอบการสูง

– ส่วนขาดทุนนอกการประกอบการต่ำ

(7)

อัตราส่วนของสินทรัพย์ถาวรต่อเงินทุนส่วนของเจ้าของ

เป็นเกณฑ์วัดว่ากิจการได้ใช้ทุนส่วนของเจ้าของเป็นสินทรัพย์ถาวร เช่น อาคารหรือเครื่องจักร อุปกรณ์มากเท่าใด ค่านี้ไม่ควรเกิน 100%

อัตราส่วนต่ำ

(ไม่ควรเกิน 100%)

– ทุนส่วนของเจ้าของสูง

– สินทรัพย์ถาวรต่ำ

(8)

อัตราส่วนของสินทรัพย์ถาวรต่อเงินทุนระยะยาว

เป็นการแสดงว่ากิจการได้ใช้ทุนระยะยาว (ทุนส่วนของเจ้าของกับเงินกู้ระยะยาวรวมกัน) ในการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมากน้อยเพียงใด กล่าวคือระดับสภาพถาวรของทุนระยะยาวนั่นเอง

อัตราส่วนต่ำ

– ทุนส่วนของเจ้าของหรือเงินกู้ระยะยาวสูง

–  สินทรัพย์ถาวรน้อย

(9)

อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน

เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างหนี้สิน และเงินกู้ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) กับสินทรัพย์ที่ใช้คืนเงินกู้จำนวนนี้ ถ้าอัตราส่วนสูงแล้วจะมีขีดความสามารถในการชำระหนี้สูงและการบริหารธุรกิจมีความมั่นคง กล่าวคือแสดงระดับเครดิตของสถานประกอบการ

อัตราส่วนสูง

(ไม่ควรต่ำกว่า 150%)

– หนี้สินสภาพคล่องเมื่อปลายงวด (ตั๋วเงินจ่าย เงินซื้อเชื่อ เงินกู้ระยะสั้น) และอื่น ๆ มีจำนวนน้อย

– สินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินฝากปลายงวด ตั๋วเงินรับ ขายเชื่อ และอื่น ๆ) รวมถึงวัตถุดิบคงคลัง, งานระหว่างผลิต, และสินค้าสำเร็จรูป มีค่ามาก

(10)

อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว หรืออัตราส่วนสภาพคล่อง

อัตราส่วนสภาพคล่องเป็นตัววัดอัตราส่วนหนี้สินสภาพคล่องกับสินทรัพย์สภาพคล่องที่มีสภาพคล่องสูง คือ เงินสด เงินขายเชื่อและอื่น ๆ (ไม่รวมวัตถุดิบคงคลัง, งานระหว่างผลิต, และสินค้าสำเร็จรูป)

อัตราส่วนสูง

– หนี้สินสภาพคล่องเมื่อปลายงวด (ตั๋วเงินจ่าย เงินซื้อเชื่อ เงินกู้ระยะสั้น) และอื่นๆ มีจำนวนน้อย

– สินทรัพย์สภาพคล่อง (เงินฝากปลายงวด ตั๋วเงินรับ ขายเชื่อและอื่นๆ) มีค่ามาก

(11)

อัตราส่วนของเงินทุนส่วนของเจ้าของต่อหนี้สินรวมและส่วนของเจ้าของ

เป็นอัตราส่วนระหว่างเงินทุนที่สถานประกอบการกู้มากับเงินทุนส่วนของเจ้าของ

อัตราส่วนสูง

– เงินทุนรวมต่ำ

–  ทุนส่วนของเจ้าของสูง เมื่อปลายงวด

(12)

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสุทธิต่อยอดขาย

แสดงระดับของภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อยอดขาย ถ้าอัตราส่วนนี้สูงหรือต่ำแล้วจะมีผลกระทบต่อกำไรประกอบการ

อัตราส่วนต่ำ

– ยอดขายสูง

– ดอกเบี้ยจ่าย และส่วนลดต่ำ

–  ดอกเบี้ยรับสูง

(13)

อัตราส่วนสินทรัพย์ถาวรหมุนเวียน

เป็นค่าแสดงระดับการใช้สินทรัพย์ถาวรในการก่อให้เกิดยอดขาย แสดงถึงประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ เครื่องจักรอุปกรณ์ให้ก่อรายได้

อัตราส่วนสูง

–  สินทรัพย์ถาวรต่ำ

–  ยอดขายสูง

(14)

อัตราส่วนลูกหนี้หมุนเวียน

แสดงความเร็วในการหมุนเวียนของยอดขายใน 1 ปี

ถ้าอัตราส่วนนี้สูงแล้วจะหมายถึง การเก็บเงินยอดขายที่เร็ว หากต่ำแล้วแสดงว่าการเก็บเงินยอดขายที่ช้า

ถ้านำจำนวนเดือน 12 เดือน มาหารด้วยอัตราส่วนลูกหนี้หมุนเวียน จะได้ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยต่อปี โดยมีหน่วยเป็นเดือน

อัตราส่วนสูง

–  ยอดของเงินขายเชื่อ ตั๋วเงินรับ และความเป็นเจ้าหนี้ขายนั้นต่ำ

–  ยอดขายสูง

(15)

อัตราส่วนเจ้าหนี้หมุนเวียน

ใช้เพื่อพิจารณาสถานการณ์การจ่ายเงินของสถานประกอบการ

ค่าสูงแสดงว่าสถานประกอบการมีเงื่อนไขการซื้อที่ดี เมื่อพิจารณาร่วมกับอัตราการหมุนเวียนของบัญชีรับแล้วจะรู้สภาพการใช้ทุนได้ดี

ถ้านำจำนวนเดือน 12 เดือน มาหารด้วยอัตราส่วนลูกหนี้หมุนเวียน จะได้ระยะเวลาจ่ายหนี้เฉลี่ยต่อปี โดยมีหน่วยเป็นเดือน

ไม่อาจกล่าวได้ว่าอัตราใดเหมาะสม

ไม่อาจกล่าวได้ว่าอัตราใดเหมาะสม

(16)

อัตราส่วนของมูลค่ากระบวนการผลิตต่อมูลค่าของการผลิต

แสดงอัตราส่วนของมูลค่าการแปรรูป (มูลค่าการผลิต – (ค่าวัสดุทางตรง + ค่าชิ้นส่วน + ค่าว่าจ้าง + ค่าวัสดุประกอบ) ในมูลค่าการผลิต

อัตราส่วนของมูลค่ากระบวนการผลิตต่อมูลค่าของการผลิต

– มีมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรรูปในกระบวนการผลิตที่เกิดขึ้นภายในบริษัทสูง

(17)

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายบุคลากร ต่อมูลค่ากระบวนการผลิต

แสดงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายบุคลากรในมูลค่าแปรรูป ใช้อ้างอิงเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของค่าจ้างแรงงานกับประสิทธิภาพการผลิต

(18)

ประสิทธิภาพการลงทุนด้านเครื่องจักร

แสดงอัตราส่วนของสินทรัพย์เครื่องจักรอุปกรณ์ (ไม่รวมที่ดินและอาคาร) ในมูลค่าการแปรรูปและแสดงผลิตภาพ (Productivity) ของทุน

อัตราส่วนสูง

–  เครื่องจักรอุปกรณ์ 1 หน่วย ก่อให้เกิดมูลค่าการแปรรูปได้สูง เป็นการใช้ทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

(19)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของวัตถุดิบ

เป็นอัตราส่วนแสดงความเหมาะสมของประสิทธิภาพการผลิตของสถานประกอบการ

อัตราส่วนสูง

–  วัตถุดิบคงคลังปลายงวดลดลง

–  ประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น

(20)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของงานระหว่างทำ

ค่าเฉลี่ยของงานระหว่างผลิตเมื่อสิ้นงวดก่อนกับเมื่อสิ้นงวดนี้ ทำให้ทราบระยะเวลาผลิตและระยะเวลาคงคลังของสินค้าได้ กล่าวคือ เป็นอัตราส่วนเบื้องต้นอย่างหนึ่งที่ตัดสินความเหมาะสมของความประหยัดในการใช้ทุนและประสิทธิภาพการขาย

อัตราส่วนสูง

– งานระหว่างทำต่ำ

–  ยอดขายสูงเมื่อสิ้นงวด

(21)

อัตราส่วนการหมุนเวียนของสินค้าสำเร็จรูป

ค่าเฉลี่ยของสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเมื่อสิ้นงวดก่อนกับเมื่อสิ้นงวดนี้ ทำให้ทราบระยะเวลาผลิตและระยะเวลาคงคลังของสินค้าได้ กล่าวคือ เป็นอัตราส่วนเบื้องต้นอย่างหนึ่งที่ตัดสินความเหมาะสมของความประหยัดในการใช้ทุนและประสิทธิภาพการขาย

อัตราส่วนสูง

– สินค้าสำเร็จรูปคงคลังต่ำ

– ยอดขายสูงเมื่อสิ้นงวด

(22)

อัตราส่วนกำไรขั้นต้นต่อยอดขาย

อัตราส่วนนี้แสดงผลกำไรต่อยอดขาย ผลกำไรเป็นสิ่งที่สนใจขั้นสุดท้ายของการบริหารธุรกิจ เป็นอัตราส่วนเบื้องต้นอย่างหนึ่งที่ตัดสินผลกำไร

อัตราส่วนสูง

–  ยอดขายสูง

–  ต้นทุนการผลิตต่ำ

(23)

อัตราส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อยอดขาย

เป็นอัตราส่วนแสดงสภาพของกำไรสุทธิจากผลของกิจกรรมทางธุรกิจ อัตราส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงตามส่วนกำไรขาดทุนนอกการประกอบการ

อัตราส่วนสูง

–   กำไรประกอบการสูง

–  กำไรนอกการประกอบการสูง

(24)

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย

เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการผลิตเท่าใดในยอดขายหนึ่งหน่วย ถ้าอัตราส่วนนั้นต่ำแล้ว ต้นทุนขายหรือประสิทธิภาพค่าใช้จ่ายจะสูง

อัตราส่วนต่ำ

–  ค่าใช้จ่ายในการขายต่ำ

–  ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่ำ

–  ยอดขายสูง

บทความที่น่าสนใจ วิธีเลือกหุ้น ทำนายกิจการด้วยการวิเคราะห์งบทางการเงิน

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *