บั้งไฟโก้ บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้านประจำจังหวัดยโสธร

บั้งไฟโก้

            บั้งไฟโก้ แตงโมหวาน หมอนขวานผ้าขิด แหล่งผลิตข้าวหอมมะลิ.  เป็นคำขวัญประจำจังหวัดยโสธร  อยู่ในถิ่นแดนอีสานกลาง เป็นดินแดนแห่งการทำนาข้าวหอมมะลิของไทยเรา จังหวัดยโสธรตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นจังหวัดที่ประชากรผู้อาศัยมีความสุขที่สุดในประเทศ ตามโรดแมปของท่านผู้ว่าราชการ  ซึ่งจะยึดหลักคงความเป็นเอกลักษณ์ ในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมแบบดั้งเดิม โดยไม่มุ่งเน้นเร่งการขยายเมือง เหมือนกับจังหวัดอื่นๆ โดยรอบอาณาเขต  อย่างไรก็ตามจังหวัดยโสธรนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธความเจริญก้าวหน้า

          จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับการพัฒนาเช่น การขยายเส้นทางคมนาคม  เพื่อจะให้ลูกหลานเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนตามมหาลัยต่างๆที่อยู่จังหวัดใกล้เคียง หรือจะเดินทางไปเที่ยวห้างใหญ่ๆ ก็สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกเช่นกัน  นี่แหละคือกลยุทธ์หลักของเมืองที่จะยังรักษาต้นฉบับทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้  จึงทำให้สิ่งปลูกสร้าง อาคารสมัยใหม่ ตึกลับฟ้าไม่อาจเข้ามาทำลายโครงสร้างดั้งเดิมได้หมด  และยังมีตำนานเล่าขานมากมายดังนี้

บั้งไฟโก้

           หนึ่งในแลนด์มาร์คของจังหวัดยโสธรคือ พญาคันคาก กับพระยาแถน ที่สร้างขึ้นให้ตั้งตระหง่านอยู่ริมบึงยิ่งใหญ่  เพื่อต้อนรับนักเดินทางท่องเที่ยว ที่ใครๆก็สามารถขับรถวิ่งไปตามถนนเปิดกว้างมองเห็นภูมิทัศน์รอบๆ ได้แต่ไกลๆ เลยทีเดียว   ตามตำนานเล่าขานว่า ณ เมืองชมพูทวีป  มีพระราชานามว่า พญาเอกราช มีมเหสีชื่อ นางสีดา  คราวนั้นเมื่อมเหสีครรภ์แก่ ได้คลอดบุตรออกมา เป็นคันคาก ฟ้าดินเกิดอาเพศ ฟ้าลั่นสั่นสะเทือน

         แต่จากคำพยากรณ์ว่า  คราวต่อไปภาคหน้า เขาจะช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น เมื่อโตเต็มวัย  พระยาคันคากก็อยากมีเมียดั่งเช่นคนอื่น แต่มเหสีจึงกล่าวว่า  รอให้เจ้าเติบโต จนเป็นหนุ่มเต็มวัยก่อน รูปลักษณ์ของเจ้าก็จะกลับเป็นปกติ แล้วเจ้าถึงจะมีเมียได้  พอได้ฟังเช่นนั้น พะยาคันคาก ได้ไหว้วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิต่างๆ จนล่วงรู้ถึงองค์อมรินทร์  ต่อมาองค์อมรินทร์จึงได้เนรมิตคุ้มหลวงกลางเมืองและช่วยให้พระยาคันคากกลายเป็นโอรสรูปงาม  เมื่อชาวประชาได้พบเห็น ก็ต่างพากันยกย่องพระยาคันคากโดยทั่วกัน  ไม่เว้นแม้แต่ภูตผีต่างๆ ที่ได้เห็น ก็พากันนอบน้อมต่อพระยาคันคาก

         พระยาแถน เจ้าผู้อยู่บนสวรรค์ทำหน้าที่คอยกำหนดฟ้าฝน  เมื่อได้ล่วงรู้ถึงเรื่องดังกล่าว เกิดความไม่พอใจ  ที่ใครๆพากันนอบน้อมต่อพระคันคาก  จึงไม่ได้ให้ฝนตกลงมา จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อน  พระคันคากเมื่อได้รู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน  จึงได้ออกไปถามพญานาคผู้ทำหน้าที่ทำให้ฝนตกว่า  ทำไมถึงไม่มีฟ้าฝน เหล่าพญานาคจึงบอกว่า  พระยาแถนไม่ให้ขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์อีกแล้ว  ทำให้พญานาคไม่มีน้ำกลับลงมาทำเป็นฝนได้   ด้วยความโกรธพระยาคันคากจึงได้ขึ้นไปบนสวรรค์  เพื่อต่อสู้กับพระยาแถนและได้ชัยชนะ จึงสามารถเอาน้ำกลับมาทำเป็นน้ำฝนให้ตกลงมาช่วยเหลือประชนชนได้

           อีกเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนดินแห่งนี้  ที่กลายเป็นประวัติในการสอนคนรุ่นหลังได้คือ กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่    ณ ที่บ้านตาดทอง  ซึ่งมีพระธาตุกล่องข้าวน้อยตั้งอยู่  จากเรื่องเล่าของคนโบราณว่าเหตุการณ์กล่องข้าวน้อยเกิดขึ้นตรงบริเวณนั้น.และนอกจากประวัติศาสตร์แล้วดินแดนนี้ ยังเป็นที่ตั้งบ้านเกิดหม่ำ จ๊กมก ตลกสามซ่าชื่อดังของเมืองไทย  ที่ยังคอยแวะเวียนมาเที่ยว ดูงานบั้งไฟโก้ครั้งนี้

บั้งไฟโก้

            โดยช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นช่วงฤดูร้อน ที่มีความแห้งแล้ง ก่อนที่ชาวนา จะได้ทำนาข้าว จะมีประเพณีจุดบั้งไฟ  เพื่อเป็นการร้องบอกให้ฟ้าเบื้องบน  ได้ทราบว่า ชาวนากำลังเดือดร้อนเพราะฟ้าฝนไม่ตกเลย  การจุดบั้งไฟจึงเป็นการร้องขอฝนจากเทวดา  หลังจากนั้นชาวนาก็จะได้เริ่มไถพรวนทุ่งนา เพื่อรอรับน้ำฝนจากฟ้า

          คำว่าโก้ หมายความว่า จังหวัดยโสธรจะไม่น้อยหน้าใคร ทำอะไรทั้งทีต้องทำให้ยิ่งใหญ่ กว่าที่ไหนๆเขาทำกัน  ดังนั้นงานบั้งไฟที่ยโสธร  จึงมีตั้งแต่บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน ถึงบั้งไฟล้าน และยังมีบั้งไฟตะไล  โอ้โห้?.. ทำไมมีเยอะจัง เรามาดูความยิ่งใหญ่ตามขนาดบั้งไฟกัน โดยเทศกาลนี้จัดขึ้น เพื่อเป็นการสอนลูกหลาน ให้รู้จักตอบแทนบุญคุณต่อปู่ย่าตายาย

บั้งไฟโก้

          บั้งไฟหมื่น เป็นบั้งไฟที่ใช้ท่อพีวีชีนี่แหละทำ ขนาดของมันก็คือ  เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว ยาว 2เมตร น้ำหนักโดยรวมก็ประมาณ 50 กิโลกรัม ระยะความสูงก็ไม่แน่ใจนะ แต่กติกาการแข่งขันจะอาศัยการจับเวลาตั้งแต่เริ่มพุ่งขึ้นจากฐาน จนตกลงสู่พื้น โดยมีสถิติเวลาสูงถึง 430 วินาที หากคำนวณแล้ว น่าจะลอยอยู่บนฟ้ากว่าจะตกลงพื้นดินราวๆสัก 7 นาทีเห็นจะได้   โอ้ววว… สูงไหมล่ะ ซึ่งตามระเบียบราชการแล้วก่อนจะการมีจุดบั้งไฟขึ้นได้ ในแต่ละที่ต้องทำการขออนุญาตจากกรมวิทยุการบินก่อน เพราะเดี๋ยวบั้งไฟขึ้นสูงๆ อาจจะไปเฉี่ยวชนเครื่องบินได้   555???? อันตรายนะ  ซึ่งเครื่องบินพาณิชย์น่าจะบินสูงถึง 3 หมื่นฟุต หากเป็นอย่างนั้นบั้งไฟ น่าจะขึ้นไปสอยดาวเทียมได้แน่เลย.

          บั้งไฟแสน เป็นบั้งไฟที่ใช้ท่อพีวิชีเช่นกัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 นิ้ว ใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น หรือโตเท่ากับต้นกล้วยขนาดใหญ่บ้านของเรา มีความยาว 3 เมตร มีน้ำหนักรวม  80 กิโลกรัมโดยประมาณ  ส่วนสถิตระยะเวลาสูงสุดที่ลอยอยู่บนอากาศ โดยใช้นาฬิกาจับเวลาได้มากถึง 480 วินาที หรือเท่ากับ  8 นาที  ลอยอยู่บนฟ้าได้นานทีเดียว  ซึ่งในขณะที่บั้งไฟถูกจุดและกำลังพุ่งตัวขึ้นจากฐานยิงนั้น เสียงของมันจะดังแช่ซ้อง ออกไปไกลเป็นกิโลๆ  แม้จะอยู่ห่างจากที่จุดบั้งไฟ 5 ถึง 6 กิโลเมตร ก็ยังได้ยินเสียงและสามารถมองเห็นควันของเชื้อเพลิงที่เผาไหม้  นั้นก็คือ ดินประสิวสีดำ

บั้งไฟโก้

           สุดท้ายบั้งไฟตะไล. บั้งไฟตะไลเป็นอย่างไงเหรอ???…. มันก็คือบั้งไฟที่มีลักษณะแนวบั้งไฟวางตัวแนวขวาง แล้วจะมีไม้ไผ่วงกลมเป็นที่ยึดถ่วงดุล คล้ายกับเข่งปลาทู แนวท่อจะถูกเจาะด้านล่างทั้งสองด้าน สำหรับทำเป็นรูไอพ่น 12 รู 6 จุด ความเอียงของรูเท่ากับ 45 องศา เมื่อจุดแรงจะทำให้เกิดแรงหมุนเป็นวงกลมถีบตัวขึ้นอย่างช้าๆ เพราะขนาดของรูไอพ่นเล็ก จึงส่งผลทำให้เกิดพลังน้อยกว่าจะเอาชนะแรงในแนวดิ่ง “แรงโน้มถ่วงของโลก” ระยะความสูงของบั้งไฟชนิดนี้จึงไม่สูงมากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์สำคัญในการจุดบั้งไฟทุกครั้ง

        เทศกาลงานบุญบั้งไฟนี้ จะมีการจัดงานขึ้นถึง 2 วันด้วยกัน แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องที่ของจังหวัดยโสธร โดยในวันแรกนั้น จะเป็นพิธีการรำไหว้เทพฟ้าดิน เป็นการแสดงออกถึงความเคารพนอบน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งปวง ซึ่งจะใช้กลองยาวเป็นเครื่องดนตรีนำ ส่วนการแต่งกายนั้นจะแตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน นอกจากนี้ยังมีการแสดงอื่นๆ ที่สอดแทรกถึงวิถีการใช้ชีวิตของแต่ละชุมชนเช่น การใช้ไม้ไผ่ยาวสอยขึ้นลง ต้องการสื่อให้รู้ว่า ในน้ำมีปลาในนามีข้าวแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ คนอีสานสามารถหาอาหารได้หลากหลายวิธี แม้จะอยู่บนต้นไม้สูงเช่น การสอยไข่มดแดงเพื่อเอามาปรุงเป็นอาหารได้.หรือจะอยู่ใต้น้ำเช่น สุ่มหรืออุปกรณ์การจับปลาอื่นๆ  ซึ่งอุปกรณ์ในแต่ละชนิดก็จะให้แง่คิด การดำรงอยู่ของคนในชุมชน

บั้งไฟโก้

         เมื่อถึงวันที่สอง ซึ่งเป็นวันจุด บั้งไฟโก้ ก็ยังมีกติกาการละเล่นเพื่อสร้างความสนุกสนานเฮฮา ซึ่งถ้าหากบั้งไฟของใคร จุดแล้วบั้งไฟระเบิด ไม่ขึ้นหรือขึ้นไม่สูง  คนที่เป็นเจ้าของก็จะโดนทำโทษ โดยการถูกจับโยนลงในบ่อโคลนที่ถูกการเตรียมไว้ทุกๆปี  อาจจะเปรอะเปื้อน มอมแมม ดินโคลนปิดบังใบหน้า ถึงขั้นจำหน้าตากันไม่ได้เลยล่ะ  แต่ก็มักจะได้ยินเสียงหัวเราะ เสียงไชโยโห่ร้องก้อง สร้างความสุขให้กับชาวชุมชนได้เป็นอย่างดี

        จึงนับได้ว่าความยิ่งใหญ่ของ บั้งไฟโก้ ยโสธรไม่ธรรมดาเลยทีเดียว  สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้มาพบเห็นความอลังการและความยิ่งใหญ่บั้งไฟโก้นี้ ก็เชิญแวะมาเที่ยวชมเทศกาลนี้ได้  รับรองได้ว่าท่านจะอึ้งและทึ่งในความสามารถของคนไทยรุ่นก่อนๆ ที่ได้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันมาถึงปัจจุบันนี้ได้  แล้วท่านจะได้ความสุขเป็นรางวัลตอบแทน

by.chidchon

#Besterlife .com

 

บทความที่น่าสนใจ  บักม่วงบ่ายโบก มะม่วงสุกมาพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *