เรียนแบบไหนดี ที่ทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด
เรียนแบบไหนดี ที่ทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด
เชื่อหรือไม่ว่าคนไทยเราเข้าเรียนตั้งแต่เด็ก 3ขวบ จนถึงเรียนจบปริญญาตรี ใช้เวลาในโรงเรียนและสถานที่ศึกษามากถึง 20 ปี แต่ยังไม่สามารถทำนายได้ว่า จะได้รับอะไรบ้างจากการเรียน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเรียนถึงหลังจากการเรียนหนังสือจบ คือ ไม่ได้กำหนดจุดหมาย จึงกลายเป็นปัญหาว่า เรียนจบแล้วจะไปทำอะไร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนที่จบปริญญาตรีหลายๆ คน ทำงานไม่สามารถทำงานให้ตรงกับสายงานที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา บ้างก็ไม่ประสบความสำเร็จ บ้างก็ต้องไปเรียนรู้ไปเข้าคอสฝึกอบรม เพื่อต้องการความรู้เพิ่มเติมไปใช้ในงาน จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติ หากลองย้อนเวลากลับไปจะรู้สึกได้ว่า เราเสียต้นทุนจากการเรียนหนังสือมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่เป็นอย่างที่คิด ถึงแม้ว่าการศึกษาจะเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุดก็ตามเถอะ
แม้แต่การฝึกอบรมหลักสูตรจากสถาบันดังๆ เปิดคอสหลายๆหลักสูตรสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของโรงงาน ธุรกิจต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาเพราะพอผู้เข้าอบรมออกจากห้องเรียน ก็พบว่าความรู้จากห้องเรียนนั้นได้ส่งคืนให้คุณครูจนหมดแล้ว ทำให้ประโยชน์ที่แท้จริงของการอบรมครั้งนั้น กลับตกอยู่ที่ตัวคุณครูหรือวิทยากรเป็นหลัก ซึ่งทำให้ผู้สอนเหล่านั้นสามารถเพิ่มทักษะการสอนได้ดีมากขึ้น มีความรู้ทางวิชาการแน่นมากขึ้น
ปัญหาอุปรรคการเรียนการศึกษายังมีอีกมากมาย ซึ่งทำให้ เด็กๆ และผู้เรียนผู้เข้ารับการฝึกอบไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรจะได้ จากการเสียสละเวลา เงิน เพื่อเข้ารับการอบรมในแต่ละหลักสูตร
ซึ่งผลงานวิจัยของสถาบันดังในต่างประเทศพบว่า การเรียนรู้ ความรู้นั้น จะเกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนได้ 100เปอร์เซนต์ต้องประกอบไปด้วยดังนี้
10 % เกิดขึ้นจากการเรียนอย่างเป็นทางการ ในห้องเรียน การฟังบรรยาย การอ่านให้ฟัง
20 % เกิดจาการแนะนำโดยผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้ข้อเสนอแนะ
70 % เกิดขึ้นจริงจากประสบการณ์ที่ได้ใช้ความรู้นั้นๆ ไปลงมือปฏิบัติจริง
แล้วจะมีหลักสูตรใด ลักษณะการเรียน: เรียนแบบไหนดี ที่ทำให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ที่ทำให้เราได้ความรู้ครบทั้ง 3 องค์ประกอบ หรือคำในภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กันมากคือ อินทิเกรท “ Integrate” เข้าด้วยกัน
ความรู้ 10% จาก Formal Training
การเรียนอย่างเป็นทางการในห้องเรียน การอบรมภายในและการอบรมภายนอกสถานที่ทำงานต่างๆ Classroom / In house / Public training การเข้าห้องเรียนที่มีครูผู้เชี่ยวชาญสอน โดยใช้เทคนิคต่างๆ การอธิบายตามเครื่องมือช่วยสอนเช่น สไลด์ แผ่นซีสเอกสารประกอบการเรียนการสอน หนังสือคู่มือ ฯลฯ
ความรู้ 70% จากการประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ลงมือทำจริง (Experience) อันได้แก่หลักสูตร
เทคนิค On the job training (OJT)
การฝึกอบรมแบบ On the Job Training (OJT) คือ การฝึกการปฏิบัติงานจริง โดยมีผู้ชำนาญงานนั้นเป็นครูฝึก คอยดูแลการฝึกงานของผู้เข้ารับการฝึกอบรม ซึ่งการฝึกอบรมแบบ On the Job Training จะไม่เน้นการเรียนทฤษฎีมากนัก แต่มุ่งเน้นไปในทางฝึกปฏิบัติ ทำให้การฝึกอบรมแบบนี้ มีความสามารถในการสร้างความรู้ความเข้าใจ เหมาะกับการปฏิบัติงานโดยตรงเพราะเห็นผลในระยะสั้นค่อนข้างชัดเจน ต้นทุนตํ่า แต่ก็ไม่ควรที่จะให้มีจำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดการดูแลของผู้ฝึกสอนไม่ทั่วถึง เกิดการบกพร่องในการปฏิบัติงาน ทำให้ Cost of Quality สูงขึ้น และ Productivity ตํ่าลงได้ ด้วยขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของผู้สอน
1)เตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ สถานที่ ข้อมูลเนื้อหาที่ต้องสอน สื่อและอุปกรณ์ต่างๆ
2) ในการสอนต้องสร้างความเป็นกันเอง แจ้งวัตถุสงค์ แจ้งงานให้ทราบ อย่างชัดเจน
3) สอบถามความรู้/ประสบการณ์ เพื่อการเลือกใช้เทคนิคการเรียนการสอนต่างๆได้เหมาะสมกับผู้เรียน
4) เทคนิคการบอกให้เห็นถึงความสำคัญของหลักสูตร ทำให้เกิดความสนใจ
การสอนจริงให้ลงมือทำจริง ด้วยเทคนิคการสอนแบบที่ละขั้นตอน
1) บอก-แสดงขั้นตอนสำคัญทีละขั้นตอน อาจจะให้ไปดูหน้างาน ดูคนอื่นทำ
2) เน้นจุดสำคัญ ในระหว่างที่ทำการสาธิตนั้นต้องอธิบายถึงความสำคัญในแต่ละขั้นตอน
3) สอนให้ชัดเจน ในระหว่างการสอนนั้นต้องถามผู้เรียนหรือให้เขาอธิบายในสิ่งที่สอนเพื่อทบทวนความเข้าใจ
4) สอนให้ครบถ้วน ไม่กั๊ก เพราะคนที่ได้รับการอบรมนั้นจะได้ไม่ทำผิด
5) ทำให้ดู – ให้ทดลองทำ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจต้องให้ผู้เชี่ยวชาญลงมือปฏิบัติให้เห็นกับตา แล้วให้ผู้เรียนได้ทดลองทำด้วยตนเอง
6) ให้ทำซ้ำจนกว่าจะมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจและทำงานได้
การติดตามและประเมินผล
1) การมอบหมายงานให้ลงมือทำจริงแล้วประเมินผลการทำงาน ด้วยการสังเกตุขั้นตอนการปฏิบัติและคุณภาพของชิ้นงาน
2) การคอยเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำเพิ่มเติม
3) การประเมินและการให้ Feedback
เทคนิค Small Group activity (SGA)
จัดตั้งกลุ่มให้มีจำนวนสมาชิกกลุ่ม: 5 ~ 6 คน ดีที่สุด และต้องมีผู้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือเช่น ผู้บริหารระดับสูง, ผู้จัดการ, Supervisor คอยชี้แนะให้คำแนะนำ ค่อยสอนหลักการที่ถูกต้อง มีการกำหนดระยะเวลาและผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการกำหนดหัวข้อในการประชุมอย่างชัดเจนเช่ การปรับปรุงด้านคุณภาพ การปรับปรุงการทำงาน การเพิ่มผลผลิตเป็นต้น
ความรู้อีก 20 % จากปัจจัยอื่นๆ Others การแนะนำโดยผู้รู้/ Feedback จากบุคคลอื่น ด้วยเทคนิคดังนี้
วิธีการฝึกแบบสอนงาน (Coaching)
Coaching Technique คือ เทคนิค วิธีการฝึกขณะปฏิบัติงานหรือระหว่างการทำงาน หรือมักเรียกว่า “การสอนงาน” โดยมีพนักงานที่ชำนาญงาน หรือผู้บังคับบัญชา เช่น หัวหน้างาน เป็นพี่เลี้ยงสอนงานให้อย่างมีขั้นตอน แล้วให้พนักงานหรือผู้ฝึกงาน (trainee) ลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่สอน มีการติดตามและประเมินผล เพื่อให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของบริษัทหรือหน่วยงาน
ซึ่งวิธีการฝึกขณะปฏิบัติงาน หรือการสอนงาน เป็นวิธีการหนึ่งในหลาย ๆ วิธีของการฝึกแบบ On the Job Training : OJT ที่เป็นวิธีการฝึกอบรมที่ทำให้เกิดความสามารถตามมาตรฐานความสามารถหรือมาตรฐานสมรรถนะ (Competency Standard) ที่มีประสิทธิภาพรูปแบบหนึ่งภายใต้ระบบการฝึก ที่เรียกว่า ระบบการฝึกตามความสามารถ (Competency Based Training: CBT)
เทคนิคการสอนงาน (Coaching Technique)
เทคนิคการสอนงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน ที่มีหน้าที่ในการสอนงาน ดังนี้
-
ผู้สอนงานต้องมีความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) สามารถตอบคำถามของผู้ฝึกงานได้ และเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายในการทำงาน เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของบริษัท
-
ผู้สอนงานต้องเต็มใจ ที่จะให้ความรู้แก่ผู้ฝึกงาน
-
ผู้สอนงานต้องเสียสละเวลาบางส่วนเพื่อการสอนงานแก่พนักงานหรือผู้ฝึกงาน (trainee) ซึ่งในบางครั้งอาจใช้เวลานานพอสมควร
-
ผู้สอนงานและผู้ฝึกงานต้องมีความเชื่อใจซึ้งกันและกัน และมั่นใจในแนวทางการสอนงาน
ข้อควรระวัง
ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานทุกคนอาจจะไม่ใช่ผู้สอนงานที่ดี บางคนทำงานเก่งแต่สอนคนอื่นไม่เป็น หรือไม่ต้องการส่งต่อความรู้ของตนเองให้กับคนอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสำคัญคือ ความรู้ (K) และทักษะ(S) ในการทำงานที่ผู้บังคับบัญชามีอยู่อาจจะล้าสมัยไปแล้ว เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความรู้ ก็ไม่อยู่นิ่งเช่นกัน ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานที่อายุมากและทำงานมานานอาจจะไล่ตามเทคนิคใหม่ ๆ ในการทำงานไม่ทัน บางหน่วยงานแก้ปัญหานี้ ด้วยการจัดฝึกอบรมเทคนิคการสอนงาน ให้กับผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน เพื่อที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับลูกน้องได้อีกเป็นจำนวนมาก กลุ่มงานพัฒนาระบบการฝึก สำนักพัฒนาผู้ฝึกและเทคโนโลยีการฝึก กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
Mentoring (พี่เลี้ยง) พี่เลี้ยง หมายถึง หัวหน้าแผนก, หัวหน้าส่วน, ผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้จัดการฝ่ายผลิต ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยง รวมถึงพนักงานในแผนกนั้น ๆ
การสนทนากลุ่ม Group discussion
การออกแบบและดำเนินการสนทนากลุ่ม ดังนี้
-
กลุ่มผู้เข้าร่วมสนทนา ผู้วิจัยจะต้องคัดเลือกอย่างรอบคอบจานวน 5-10 คนต่อกลุ่ม โดยต้องมีลักษณะที่เป็นองค์ประกอบที่เหมือนกัน เป็นกลุ่มคนประเภทที่คล้ายคลึงกัน
-
บรรยากาศในการสนทนากลุ่มมีความสบาย ผ่อนคลาย กาหนดที่นั่งเป็นวงกลม การจัดให้มีการบันทึกเสียง
-
ผู้ดำเนินการสนทนากลุ่มมีความชานาญในการดาเนินการ โดยกาหนดประเด็นคำถามล่วงหน้า เอื้ออำนวยให้เกิดสภาพแวดล้อมในขณะสนทนาที่เปิดใจตามสมควร
-
กำหนดให้มีการวิเคราะห์เชิงระบบ กระบวนการที่สามารถพิสูจน์ได้และการรายงานอย่างเหมาะสม
สิ่งสำคัญคือ การมีเป้าหมายของผู้เรียน การเรียนรู้ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะนำความรู้นั้นๆไปประยุกต์ใช้ในชีวิต ดังนั้น เรียนแบบไหนดี คือเรียนแล้วสามารถนำไปปฏบัติได้
บทความที่น่าสนใจ เทคนิคสร้างความมั่นใจ ในตนเองให้กลายเป็นกล้าแสดงออก กล้าคิด กล้าทำ
คลิป พัฒนาตนเองในการทำงาน https://www.youtube.com/watch?v=hc8YBTu7vVM&t=303s
1 Response
buy viagra
WALCOME