จุดไฟให้ตัวเอง เป็นวิธีสร้างพลัง&แรงบันดาลใจให้กลายเป็นคนแอคทีฟอีกครั้ง

                ทำไมต้องทำงาน ?  ถ้าคนเราเติบโตและมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องกินก็น่าจะดี เพราะหากเป็นเช่นอย่างนั้น คนเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหาเงิน เพื่อนำไปซื้อข้าวกิน  แต่โลกแห่งความจริง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อปากท้องไม่ได้รับสารอาหาร มันก็มักจะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาทและสมอง สั่งให้เราหิว นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้คนเราต้องดิ้นรนทำงานหาเงินจริงไหมละครับ?  นอกจากนี้คนเรายังมีความต้องการด้านอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตเช่น รถยนต์ บ้าน เสื้อผ้า รวมทั้งวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่ทำให้ตนเองรู้สึกว่า มีความสุข  ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ต้องใช้เงินซื้อ คนทั่วไปอย่างเราจึงต้อง ทำงาน

จุดไฟให้ตัวเอง

จุดไฟให้ตัวเอง

             เงินสามารถสร้างความสุขได้  ถึงแม้ว่าหลายๆคนอาจจะมองว่า เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ทุกๆอย่างที่ซื้อต้องใช้เงิน  ด้วยความอัศจรรย์ของอำนาจเงิน  นอกจากสามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานแล้ว เงินยังมีอำนาจตอบสนองความต้องการในขั้นที่สูง  ทั้งได้รับการยอมรับและได้รับเกียรติทางสังคม ฯลฯ  จึงทำให้คนเราต้องทำงานหนัก ( โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน) แต่การทำงานอย่างหนัก ที่ต้องต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ความผิดพลาด แรงกดดัน ฯลฯ

        จากความเครียด แรงกดดันด้านต่างๆและความล้มเหลว ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตได้เช่นกันเพราะอาจจะทำให้คนที่อาจเคยเข้มแข็ง หมดพลังในการทำงานลงได้ ซึ่งเรียกว่า  หมดไฟในการทำงาน  จากคนที่เคยกระตือรือร้นในการทำงานก็กลายเป็นคนที่ท้อแท้สิ้นหวัง จนทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพ แล้วหากเรายังคงปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป โอกาสที่จะล้มเหลวและไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตจึงมีมากขึ้น  แล้วจะทำอย่างไร เมื่อหมดพลังแล้ว จะชาร์จพลังให้ตนเองสามารถลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ จุดไฟให้ตัวเอง จุดประกายความคิดและเติมพลังความเชื่มมั่นในตนเองให้กลับมาอีกครั้ง

                จุดไฟให้ตัวเอง เป็นวิธีสร้างพลังและแรงบันดาลใจในการทำงาน ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นและพลังศรัทธาในตนเอง  เพื่อฝ่าฟันปัญหาอุปสรรค ให้ก้าวไปสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จ 

การสร้างพลัง ?

         พลังงานคือ สิ่งที่ทำให้เกิดงาน พลังงานในที่นี้ไม่ได้หมายถึง พลังงานไฟฟ้า พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ แต่หมายถึงพลังที่มีอยู่ในตัวตนของพวกเรา พลังอันเกิดจากจิตใต้สำนึก เป็นพลังแห่งความเชื่อและการนับถือตนเอง

          พลังในตนเองคือ ความคิด ทรรศคติและภาวะจิตใจ   เทคนิคการใช้พลังในตนเองคือ การจินตนาการผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ เช่น การมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรูๆ มีเงินใช้  ความคิดดีเหล่านั้นจะพลังบวกที่ถูกสะสมไว้ที่จิตใต้สำนึก “พลังจินตนาการก็เป็นเหมือนเวทมนต์ ที่จะทำให้พบแต่ความประสบความสำเร็จ”  เมื่อจิตใต้สำนึกรวบรวมพลังความคิดบวกเชิงสร้างสรรค์ไว้มากขึ้น ก็จะกลายเป็นพลังกระตุ้นตนเองไปสู้เส้นทางแห่งชัยชนะ

พลังในการทำงาน คืออะไร?

         พลังในการทำงาน หมายถึง พลังงานอันเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นพลังอันได้รับจากการคิดบวก คิดสร้างสรรค์ ทัศนคติและความเชื่อมั่น แล้วมีพลังอำนาจส่งผลให้จิตสำนึกมีชีวิตชีวา จุดไฟให้ตัวเอง ให้มีความตั้งใจและเพียรพยายาม ในการทำงานจนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ 

 

จุดไฟให้ตัวเอง

วิธี จุดไฟให้ตัวเอง

           การเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายคือ การกินอาหารแล้วได้สารอาหารครบ 5 หมู่  การแบ่งเวลา  Work Life Balance ในชีวิตประจำวัน มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ  แต่การเพิ่มพลังใจ ไม่สามารถแบ่งออกเป็นชิ้นเป็นอันได้ ไม่สามารถวัดได้ คนที่รู้ดีที่สุดคือ ตัวของเราเอง  

           การรักษา พลังในการทำงาน คือ การสร้างพลังใจที่กล้าแกร่ง ” หรือการมีพลังใจดังเพชร ” ที่สามารถต่อสู้กับปัญหาอปสรรค หรือสิ่งไม่ดีอำนาจชั่วร้ายต่างๆได้ โดยที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ  ซึ่งพลังไม่ดีที่จิตเราต้องเผชิญคือ การคิดลบ เพราะมันจะทำลายพลังอำนาจแห่งความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองให้ลดลง

         การ จุดไฟให้ตัวเอง เป็นเทคนิคหนึ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะการที่จะ มีพลังใจดังเพชรได้ ก็เหมือนถ่านคาร์บอนที่ผ่านการให้ความร้อนและแรงดันสูงเป็นเวลานาน จนมันสามารถกลายเป็นเพชรได้  ภายหลังจากนั้นเราก็ทำการเจียรไนเพชรใบนั้น ให้ส่องประกายสดใส โชว์พลังอำนาจที่มีมากกว่าถ่านที่ไร้ค่าโดย  วิธีสร้างพลังใจดังเพชร เพื่อ จุดไฟให้ตัวเอง มีดังต่อไปนี้

     1) ตัดสินใจว่าจะเป็นคนประสบความสำเร็จจริง ๆ ปกติความฝันของคนเรามีสองแบบ คือคาดการณ์ได้ กับคาดการณ์ไม่ได้ คนส่วนใหญ่มักจะเลือกสิ่งที่คาดการณ์ได้คือ ฝันในสิ่งเล็กๆ เคยประสบความสำเร็จและเคยได้รับผลลัพธ์ของสิ่งนั้นมาแล้ว จึงเอาสิ่งเคยได้ไปเป็นความฝันและเป็นเป้าหมายชีวิตอีกครั้ง

        หากเป้าหมายเล็กจงจงเปลี่ยนแปลงวิธีคิดใหม่ จงกล้าที่จะฝันในสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้  ใช้คำว่าท้าทายความสามารถ ถึงแม้ว่าการทำงานใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรมาก สำเร็จได้ยาก แต่ถ้าเราตัดสินใจว่าจะเป็นคนสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ การตัดสินใจจะสร้างความมุ่งมั่น ความเพียรพยายามและกำลังใจที่เหลือล้น เพราะรู้ว่าเมื่อทำงานจนประสบความสำเร็จ ผลลัพธ์ของความสำเร็จ มักมีคุณค่าคุ้มค่ากับชีวิตมากขึ้น จะทำให้รู้สึกภูมิใจมากกว่า สิ่งที่ได้มาง่ายๆ 

      2 ) ใส่พลังแรงกายแรงใจ เมื่อเป้าหมายชัด จงสร้างพลังที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาและเชื่อมั่นว่า การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีศักภาพพอที่จะได้รับชัยชนะ ใช้เทคนิคการสร้างแรงใจเพื่อเรียกพลังงานจากส่วนต่างๆ มาใช้สร้างพลังกระตุ้นในการฟันฝ่าอุปสรรค เหมือนกับคนพิการที่มีหัวใจของการต่อสู้ ต่อให้ร่างกายพิการขอเพียงมีลมหายใจ พวกก็สามารถสร้างความสำเร็จได้

     3) ไม่เปลี่ยนใจง่าย ยึดมั่นต่อเป้าหมาย ต่อให้มีขวากหนาม ถึงแม้จะท้อแท้บ้างแต่ก็ไม่ท้อถอย เมื่อเจออุปสรรคปัญหาให้ถือว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นของคู่กัน มีปัญหา เดี่ยวมันก็ผ่านไป  เราสามารถแก้ปัญหาได้ เชื่อมั่นหลักการและวิธีที่ตนคิดว่า จะนำพาไปสู่จุดหมายได้ คิดเสมอว่าชาตินี้ต้องเอาดีให้ได้ หากท้อจงมองหาคนที่ต่ำต้อยกว่า คนที่ยึดมั่นในเป้าหมายเท่านั้นคือคนที่สำเร็จบนโลกนี้

     4) พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น โอกาสไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ความสำเร็จบางครั้งเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงเวลาอันสั้น การลงมือทำต้องทำด้วยกำลังความสามารถอย่างเต็มที่เหมือนกับกรุงโรมไม่ได้สร้างสำเร็จไดเพียงแค่วันเดียว คนที่มีความพร้อมกว่าเท่านั้นคือ ผู้ที่จะได้รับเลือก  คนรวยที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  พัฒนาตนเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่ลังเลกับการลงทุนทางความรู้ การลงทุนทางความรู้จะให้ตอบแทนที่คุ้มค่า อย่าสนกับคำว่า แก่เกินเรียน การเรียนรู้ไม่มีคำว่าสาย ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในสิ่งใดต้องรู้เรื่องนั้นอย่างเชียน รู้ลึกรู้จริง

     5) มีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย การจินตนาการผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ เมื่อท้อแท้ให้มองผลลัพธ์ของเป้าหมายเป็นที่ตั้ง  ให้ผูกมัดเป้าหมายไว้กับคนที่เรารักและคนที่อยู่ข้างหลัง ที่เราต้องคอยดูแล คิดถึงภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุข

       คนที่ไม่ทิ้งเป้าหมายคือ คนที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต เป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน ไม่มีไว้ให้ทิ้ง  คนประสำเร็จจะมองปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นโอกาส เพื่อเอาไว้ค้นหาความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่ผ่านการเผชิญกับปัญหา มีเพียงแค่ 2 อย่าง คือ 1 ไม่ได้เป็นผู้ลงมือทำเอง อาจจะมีพ่อแม่ที่ร่ำรวยทำไว้ให้  2. งานที่ประสบความสำเร็จนั้นมันไม่มีค่า เว้นเสียแต่ว่า งานที่กำลังทำอยู่เรามีความพร้อมทุกเรื่องและมีความเป็นอัฉริยะ

    6) เรียนรู้ สม่ำเสมอ คนที่รู้จริงในเรื่องนั้น เท่ากับว่าเราเป็นผู้สำเร็จ รู้ลึกรู้จริงคือ คนที่มีอำนาจ อำนาจจากความรู้จะสามารถครอบครองทุกสิ่งในโลกนี้ได้ คนที่ไม่รู้จะเสียโอกาส ส่วนคนที่รู้จริงมักจะได้รับโอกาสก่อนคนอื่นเสมอ

        วิธีการเรียนรู้ได้จากการค้นคว้าศึกษาหลักการทฤษฎี แล้วนำความรู้เหล่านั้นไปลงมือปฏิบัติจริง จะเกิดเป็นทักษะและความชำนาญ ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความรู้ต้องถูกพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก การเรียนจะช่วยให้การตัดสินใจต่างๆ ทำได้รวดเร็วและดีขึ้น

    7) ต้องรู้จริง รู้เรื่องทั่วไป  เกี่ยวกับโลกนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจคือ ต้องรู้เรื่องตัวเอง การสื่อสารกับตัวเองอย่าสม่ำเสมอจะสร้างการนับถือตนเองเชื่อมันในตนเองได้มากขึ้น  เราไม่จำเป็นต้องรู้ลึกทุกเรื่อง แต่เรื่องที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ ต้องรู้ลึกรู้จริง

        การเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้มี 2 ลักษณะด้วยกันคือ คนที่รู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี จึงเปลี่ยนวิธีคิดและการกระทำของตนเองใหม่  ส่วนอีกหนึ่งลักษณะคือ การถูกบีบบังคับจากปัจจัยต่างๆ สิ่งแวดล้อม เพื่อนและสังคม ในโลกยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมออนไลน์ ฯลฯ  การมีความรู้รอบด้านจะทำให้ตนกลายเป็นคนไม่ล้าหลัง

     8) การทำงานต้องละเอียดและความสำเร็จเกิดจากการลงมือทำทันที  เพราะเราไม่สามารถควบคุมเข็มกาลเวลาให้หยุดเดินได้ หรือแม้แต่การย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้องและสิ่งเลวร้ายในอตีดได้  ดังนั้นการทำงานต้องทำให้ดีต้องคิดถึงผลงานทำจากลงมือทำทุกๆเรื่อง ต้องเอาที่ดีที่สุด จะไม่ยอมรับหากไม่ได้ที่หนึ่ง จะช่วยทำให้เราได้ผลงานที่สมบูรณ์แบบ  

         เมื่อไม่รู้ว่าจะมีเวลาอยู่บนโลกนี้ได้อีกนานเท่าไหร อย่ารอโอกาส ต้องเป็นคนสร้างโอกาส ด้วยการลงมือทำทันทีที่รู้เป้าหมาย เพราะเวลามีค่ามากกว่าเงิน

      9)  ต้องใส่ความพยายามอย่างต่อเนื่อง ความพากเพียรเป็นการทำด้วยกำลังความสามารถอย่างไม่สิ้นสุด จนกว่าจะได้รับชัยชนะ  ความมุ่งมั่นและการไม่ลดละหรือไม่ล้มเลิกง่ายๆ ในที่สุดจะทำให้ได้พบกับสิ่งที่คาดหวัง การทำงานเมื่อพบกับปัญหาต้องเอาชนะต่อความคิดลบ ถึงแม้ปัญหาที่กำลังเผชิญ มันจะยิ่งใหญ่แสนสาหัสมากสักเพียงไหน ให้คิดว่าเดี๋ยวมันก้จะผ่านไป ให้กำลังใจตนเองลงมือทำต่อเนื่อง แล้วความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื่อมถึง

      10) ของแท้ ที่เรียกว่า สุดยอดของวิธีการ จุดไฟให้ตนเอง คือความยืดหยุ่น Resilience ได้ ต้องสามารถยอมรับได้ทั้งความสำเร็จ หรือแม้แต่ความล้มเหลว เรียนรู้ได้ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวจากประสบการณ์ในชีวิต ต้องไม่จมอยู่กับกองทุกข์หรือปัญหา และสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้

       คนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จะไม่ทำเพียงแค่เรื่องประโยชน์ส่วนตน มักจะมองผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง การที่เข้าใจอย่างนี้ได้ เมื่อลงมือทำงานใดๆ จะได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน

       จุดไฟให้ตนเอง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสามารถโน้มน้าวตนเองให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้ อย่าจมอยู่กับอดีตด้วยวิธีคิดเชิงบวกและคิดสร้างสรรค์ เพื่อปลดปล่อยพลังการคิดลบ และความท้อแท้สิ้นหวังให้สิ้นหมดไป ใช้ความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นยืนบน แท่นแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่ยังคงรอเราอยู่ ชีวิตเรา…สร้างได้

บทความแนะนำ: ฝึกคิดบวก

You may also like...