ชีวิตเด็กบ้านนอก เมื่อเข้ากรุงครั้งแรกจึงมีเรื่องขำๆ เปิ่นๆ เล่าสู่กันฟัง
วิถีชีวิตวัยเด็กบ้านนอกในต่างจังหวัดที่ พ่อ แม่ พี่-น้อง ส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นเกษตรกร เนื่องจากไม่ได้เล่าเรียนสูงประสบการณ์ในโลกกว้างก็น้อย โอกาสด้านต่างๆก็ยิ่งน้อยตามไปด้วย การทำการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพที่อาศัยดินฟ้าอากาศ หากปีใดสภาพอากาศแปรปวน เกิดภัยแล้งหรือมีฝนตกมากน้ำก็ท่วมพื้นที่เพาะปลูก พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ปีนั้นก็จะทุกข์อย่างมาก เพราะนอกจากจะไม่ได้เงินทุนคืนแล้ว แถมยังมีหนี้สินเพิ่มขึ้นๆ
หรือถึงแม้ว่า บางปีฟ้าฝนดี อากาศเหมาะสม ได้ผลผลิตเยอะ แต่ราคาพืชผลมันก็จะตกต่ำ พวกเขาเข้าใจว่ามันเป็นไปตามกลไกลของตลาด เพราะหากผลผลิตมันมากเกินความต้องการของตลาด ราคามันก็จะต่ำ แต่ก็จำทนต้องทำ
การขายผลผลิตการเกษตรที่จำนวนน้อย ราคาก็ไม่ดีทำให้มีเงินไม่พอใช้ หรืออาจสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น จึงทำให้ครอบครัวเกษตรกรหลายๆครอบครัว ต้องอพยบเข้าไปทำงานในเมืองกรุง
ผมเองก็เป็นเด็กบ้านนอก คนหนึ่งที่ครอบครัวทำอาชีพเกษตรกรเต็มขั้น ผมเคยเป็นเกษตรกรตัวน้อยๆ เต็มตัวตั้งแต่เด็กๆ ทั้งทำไร่ ทำสวนและทำนา โดยในสมัยเด็กๆไม่อยากให้ถึงวันเสาร์ อาทิตย์เลย มันเหนื่อยเพราะจำเป็นต้องไปช่วยพ่อ-แม่ ทำไร่-ทำนา แต่ก็ยังดีที่พ่อ-แม่ มีหนี้สินไม่มาก พ่อไม่เคยพาผมไปทำงานที่เมืองกรุงเลย จึงทำให้ผมกลายเป็นผู้ด้อยโอกาส ที่จะได้เข้าเมืองหลวงตั้งแต่ยังเด็ก
แต่โอกาสไม่ไร้เท่าใบพุทรา สมัยเข้าเรียนมัธยมในช่วงปิดเทอมใหญ่ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม คนบ้านนอกจะไม่มีงานทำ เพราะเป็นฤดูหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร จึงทำให้ผมไม่มีงานทำในช่วงนั้น จึงกลายเป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้เข้ากรุง ตื่นเต้นมาก หัวใจมันพองโต ที่จะได้เห็นความเจริญของเมืองกรุงกับคนอื่นๆเขาสักที
จึงกลายเป็นเรื่องเล่า ที่อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็ก ชีวิตเด็กบ้านนอก คนหนึ่งที่มีทั้งความเซ่อและความไม่รู้ จึงสร้างเรื่องเปิ่นๆ ไว้มากมายในเมืองหลวง ซึ่งอาจจะสอดแทรกความคิดแบบขำๆ และยังไม่สามารถประเมินได้เหมือนกันว่า ท่านผู้อ่านจะหัวเราะออกหรือไม่ เพราะมุกมันอาจจะฟืดไปหน่อย แต่ก็ขอให้ติดตามกันต่อไปนะครับ
เรื่องขำๆเปิ่นๆเล่าสู่กันฟังของ ชีวิตเด็กบ้านนอก ที่เข้ากรุงครั้งแรก
ผมคิดว่าทุกๆ คน คงได้ทำอะไรๆ เป็นครั้งแรกเหมือนกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ แล้วถ้ามันกลายเป็นเรื่องหัวเราะและเรื่องขำๆของคนอื่น แต่สำหรับเราแล้ว มันกลับกลายเป็นเรื่องน่าอาย แถมบางเหตการณ์ก็มีความหวาดเสียว ถึงขั้นสิ้นชีวิตก็มี ถามว่าเพื่อนๆจะยังคงหัวเราะได้อยู่หรือไม่ เรื่องเล่าเตือนใจสำหรับ ชีวิตเด็กบ้านนอก คนหนึ่ง
เรื่องที่ 1. บันไดเลื่อน ที่ให้อภัยไม่ได้
ชีวิตเด็กบ้านนอก โดยส่วนมากแล้วจะถูกพ่อแม่บังคับให้ไปช่วยงานตามไร่นา หรือตามสวนผักผลไม้ต่างๆ แล้วในทุ่งนาจะสร้างกระท่อมไว้ เพื่อเป็นที่หลบแดด ฝน และบ้านพักสำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อน แถวบ้านผมเขาเรียกกระท่อมปลายนาว่า “ ห้างหรือเถียงนา ” จึงไม่คุ้นเคยกับห้างในเมืองกรุงมากก่อน
ครั้งแรกที่ผมเดินเข้าห้างสรรพสินค้า โดยไปกับคุณครูเพื่อจะไปสอบแข่งขัน ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก โอ้วโห่…ทำไมบันไดมันวิ่งขึ้นลงเองได้ จึงได้ถามคุณครู เขาเรียกมันว่าอะไรครับ ครูบอกว่า บันไดเลื่อน ” เดี่ยวครูจะพาไปลอง ” และแล้ว…คุณครูก็ก้าวขึ้นไป ไอ้เราก็ยังกล้าๆ กลัวๆ จนครูไปถึงกึ่งกลางบันไดแล้ว ไอ้เราก็ยังไม่กล้าขึ้นไป แล้วก็มีคนด้านหลังเดินมาแล้วขึ้นไปก่อนเรา ผมจึงตั้งสติอีกครั้งอาศัยการมองแล้วเลียบแบบคนอื่น โดยเอาเท้าเหยียบขึ้นไปข้างหนึ่ง และใช้มือคว้าไปที่ราวบันไดไว้ แล้วเท้าอีกข้างหนึ่งยังติดอยู่กับพื้น แต่เท้าอีกข้างหนึ่งมันไปกับบันไดเลื่อนแล้ว เออๆ… เกือบล้ม และขาอ้าแทบฉีก ครับ
พอมันพาเราขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดของอาคาร เอาละสิๆ…ผมคิดในใจว่าแล้วตูจะลงอย่างไง ต้องกระโดดลงหรืออย่างไร? มองเห็นคนหน้า เขาก็เดินลงแบบธรรมดา อึ๊บ..ผมหายใจเข้าพร้อมกับการลงจากบันไดเลื่อน บวกกับแรงส่งของบันไดเลื่อน จึงผลักให้ตัวผมเอาหัวทิ่มไปที่ตูดคนข้างหน้า ฮ่าๆๆ.. ดีนะที่เรายังไม่ล้ม แถมคนข้างหน้าก็เหมือนกับผู้หญิง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงไอ้เราก็คงชอบอิๆๆๆ แต่พอได้ยินเสียงแล้ว ไม่ใช่เลยครับ5555….. ผู้ฉิงครับ 555… จึงได้แค่กล่าวคำว่า เค้าขอโต๊ดนะตัวเอง… คำเตือน! การขึ้นบันไดเลื่อน ทรงตัวให้ดี จับราวบันไดไว้ อย่าวิ่งเล่น ขึ้น-ลงบนบันไดเลื่อน
เรื่องที่ 2.เพราะหนังกลางแปลง
เรื่องนี้จำได้แม่นเลย ชีวิตเด็กบ้านนอก อย่างเราอย่าถามว่าเคยดูหนังไหม แม้แต่ทีวียังต้องอาศัยบ้านคนอื่น แต่หนังกลางแปลงหนังขายยา ก็พอมีให้ได้ดูบ้าง ซึ่งพวกเขาจะมาฉายหนังพร้อมกับขายยา ซึ่งมักจะเป็นยาถ่ายพยาธิ
ในช่วงเย็นๆคนฉายหนังจะนำรถยนต์มาเร่ประกาศ “ ค่ำคืนวันนี้จะมีภาพยนตร์ จอใหญ่ยักษ์ มาให้ทุกท่านได้ดู ได้รบชมกันถึงบ้าน ถึงสองเรื่องควบด้วยกัน…. ซึ่งในค่ำคืนนั้นพวกเราก็จะดีใจมาก เพราะเด็กๆอย่างเราจะได้ไปนั่งด้านหน้าจอ ซึ่งมันจะเห็นได้ชัดเจนมาก เพราะไม่มีผู้ใหญ่มาบัง ให้เสียบรรยากาศ
เมื่อภาพวัยเด็กยังคงฝังอยู่ในหัวสมอง พอโตขึ้นช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 4 พอได้มีโอกาสไปดูหนังโรงเป็นครั้งแรก ซึ่งไปกับพี่เขย โดยชื่อหนังที่พอจะจำน่าจะเป็น คนเหล็ก แถมยังต้องดูกันคนละโรงกับพี่เขยอีกต่างหาก เพราะชอบหนังคนละแนว
การชื้อตั๋วหนังครั้งแรก เราก็เข้าแถวซื้อตั๋ว เราก็มองคนด้านหน้าเรา ที่เขากำลังจะจ่ายเงินซื้อตั๋ว ผมอยากรู้ว่า ค่าตั๋วมันจะแพงแค่ไหน จึงเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ๆ ทำให้ได้ยินราคาค่าบัตรที่เขาซื้อ ราคา 120 บาทครับ…
พอถึงคิวผม พนักงานขายตั๋วได้ถามว่า จะเลือกที่นั่งโซนไหนค่ะ ผมจึงถามกลับไปว่า ด้านหน้าๆมีที่นั่งเหลือบ้างไหมครับ พนักงานพูดขึ้นว่า เหลือเยอะค่ะ แถวหน้าทั้งแถวเลือกได้หมดเลย ไอ้เราก็แอบอมยิ้ม เพราะจะได้มองเห็นภาพหนังชัดๆ จึงชี้ไปยังที่นั่งตรงกลางของแถวแรก เอาตรงนี้เลยครับ
แล้วก็ยื่นเงินให้พนักงานไป 200 บาทเพราะคิดว่าแถวหน้ามันต้องแพงกว่า 120 บาทแน่ๆ พนักงานพูดขึ้นว่า 80 บาทคะ ไอ้เราก็ยิ่งดีใจเข้าไปอีก ค่าบัตรถูกอีกต่างหาก ฮ่าๆๆ… แล้วผมก็เข้าไปดูหนังจบเรื่อง พอออกจากโรงหนัง คอแทบหัก กว่าคอจะกลับมาเหมือนเดิมได้เกือบเป็นชั่วโมง มิน่าละ ถึงไม่มีคนนั่งแถวด้านหน้ากันเลย มันเป็นอย่างนี้นี่ เอง……………..
เรื่องที่3. ข้ามถนนฝ่าทะลุวิกฤต เป็นและตายเท่าๆกัน
ในอดีต ถนนในบ้านนอก จะเป็นถนนลูกลังแบบเลนเดียวครับ จำนวนรถยนต์ที่วิ่งก็มีให้เห็นมีน้อย การข้ามถนนจึงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหมละครับ แต่พอเจอกับชีวิตจริงเท่านั้นแหละ
ในสมัยที่เคยเข้าไปทำงานในกรุงเป็นครั้งแรก เพื่อนและญาติของผม ที่พวกเขาเคยมีประสบการณ์ในข้ามถนนในกรุงมาแล้ว ถนนในเมืองกรุงจำนวนรถก็มีมาก และยังวิ่งด้วยความเร็วอีกต่างหาก บวกกับขนาดของถนนก็กว้างกว่า ที่บ้านนอกหลายเท่า จึงสร้างความกลัวและความตื่นเต้นให้กับผมเป็นอย่างมาก
ก่อนข้ามถนน เพื่อนได้สอนวิธีข้ามถนน โดยเล่าให้ผมฝังว่า มองรถซ้าย-ขวา หาจังหวะรถว่าง แล้ววิ่งให้เร็ว รถจะได้ไม่ชน เป็นช่วงจังหวะที่รถว่าง เพื่อนของเราก็วิ่งฉิว..ข้ามไปอยู่ฝั่งตรงข้ามเรียบร้อย ตอนนี้เหลือผมกับญาติละครับ เมื่อมองไม่เห็นรถด้านขวา ญาติก็ได้จับแขนผมแล้วพาผมเดินข้ามถนน พอถึงไปตรงกลางถนน จู่ๆ..ญาติของผมจึงหยุด แล้วยืนนิ่งอยู่กลางถนน (เกาะกลางถนน)
อยู่ๆ..ในระหว่างนั้น ผมหันไปเห็นรถวิ่งมาทางขวาและกดแตรเสียงดังมาก ผมจึงรีบสะบัดแขนจากญาติ แล้ววิ่งย้อนกลับมาที่เดิม….ฮ่าๆ…. เพื่อนหัวเราะเยาะ..ญาติก็ตกใจและโกรธมาก เพราะเกรงว่าผมจะถูกรถชน เหตุการณ์ครั้งนั้นเราตกใจและกลัวมาก.. ใจเสียหมด..หัวใจแทบตกไปอยู่ที่ปลายเท้า ดีนะที่รอดมาได้
ยังมีอีกครั้งกับการข้ามทางม้าลาย มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราเดินทางไปหาพี่สาวเพียงคนเดียว ซึ่งคุณครูจากโรงเรียนเคยสอนไว้ว่า หากจำเป็นต้องข้ามถนน ก็ให้ข้ามตรงทางม้าลายนะลูก…พอไปถึงทางม้าลาย แต่ทำไมรถมันเยอะและวิ่งเร็วจัง แล้วเราก็รอช่วงรถว่างเป็นเวลานานมาก 555…บวกกับไม่เห็นว่ารถมันจะหยุดให้สักที เราจึงตัดสินใจใช้เท้าเหยียบลงไปที่พื้นถนน แต่กลับมีรถมอเตอร์ไซด์วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ผมจึงชักเท้ากลับขึ้นทันที
ครั้งที่สองเดินลงไปกลางถนนได้นิดหนึ่ง แต่ก็ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังมาใกล้ๆ ผมจึงรีบวิ่งถอยกลับมาที่เดิม ซึ่งช่วงเวลานั้นตกอยู่ในช่วงเวลา ระหว่างความกล้าและกลัวพอๆกัน ยึกๆ ยักๆ หากมีคนเห็นก็คงแอบคิดในใจ (บ้านน๊อก..บ้านนอก) โชคดี อีกไม่นานนัก (แต่ก่อนหน้ารอนานมาก) ประมาณสัก 5 นาทีเห็นจะได้มีคนมายืนรอข้ามถนน ผมจึงได้อาศัยไปพร้อมกับเขา
จากทั้งสองเหตุการณ์บนถนน กลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้ว่า วิธีข้ามถนนที่ถูกต้องควรทำเช่นไร การข้ามถนนจะกี่เลนก็ตาม ควรมองหาเกาะกลางถนน แล้วก้าวข้ามไปทีละด้านของถนน แล้วยืนบนเกาะกลางของถนน หากมองแล้วว่าไม่มีรถ จึงค่อยก้าวข้ามไปอีกด้าน แต่เพื่อความปลอดภัย ให้ใช้สะพานลอย ใช้ทางม้าลายที่มีไฟกระพริบให้คนข้าม หากจำเป็นต้องข้ามถนนบริเวณที่ไม่มีสะพานลอย ควรใช้ความระมัดระวัง มองซ้ายมองขวาให้มั่นใจว่าจะไม่มีรถวิ่งผ่านก่อนข้ามถนน
เรื่องที่ 4. ใช้ลิฟท์ครั้งแรก
… ชีวิตเด็กบ้านนอก คนหนึ่งยังไม่เคยเห็นของจริง จะเห็นตึกสูงๆ ก็เฉพาะรูปหรือไม่ก็ในทีวี ก็ได้แค่จินตนาการไปต่างๆนาๆ ว่าคนที่อาศัยอยู่ในตึกชั้นสูงๆ กว่าพวกเขาจะเดินขึ้นบันไดไปถึงห้องพัก คงต้องเดินจนเหนื่อยแน่ๆ
จนมาถึงบางอ้อ ก็เมื่อได้ไปใช้ลิฟท์ในโรงแรมครั้งแรก เป็นช่วงที่เราไปสอบแข่งขัน ซึ่งไปกับเพื่อนๆที่ไม่มีประสบการณ์เหมือนๆกัน เพื่อจะไปลงทะเบียบสอบที่ชั้น 5 ของโรงแรม ซึ่งยังดีที่มีคุณครูไปด้วย พอถึงหน้าลิฟท์ผมจึงเกิดความกลัวขึ้นในใจ และแอบคิดว่าฉันต้องเดินชิดอาจารย์เข้าไว้ แต่พอลิฟท์ลงมาและเปิดรับเท่านั้นแหละครับ ไม่ทันเพื่อนคนอื่นๆเสียแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาเข้าไปล้อมอาจารย์กันซะจนหมด
อ้าวซวยละเรา ผมจึงเดินเข้าไปแล้วยังมีคนแปลกหน้า เดินเข้ามาขึ้นลิฟท์กับพวกเราอีกตั้ง 3 คน หลังจากนั้นลิฟท์ก็ปิด แล้วมันก็พาพวกเราขึ้นไป ตื่นเต้นมากครับ ลิฟท์มันกำลังจะจอด!… ผมรู้สึกได้ ว่ามันวูบ… พอมันถึงมันจอดนิ่งๆ…ประตูมันก็เปิดออก คนหน้าแปลกทั้ง 3 คนที่เขามาพร้อมกับพวกเราเดินออก และแล้วผมก็เดินตามพวกเขาไป…555 หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงอาจารย์เรียกอย่างดัง…ยังไม่ถึงๆ กลับมาก่อนๆ ….ฮ่าๆๆ เพื่อนขำกันใหญ่ ผมจึงรีบกลับเข้าไป ขณะที่ประตูลิฟท์ก็กำลังจะปิด หวาดเสียวมากครับ แถมยังเกือบถูกประตูหนีบอีก
จึงทำให้ผมได้รู้แล้วว่า ทำไมคนที่อาศัยอยู่ตึกชั้นสูงๆ จึงไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นบันไดให้เหนื่อย การใช้ลิฟท์มันไม่ยาก เพราะเพียงแค่เข้าใจสัญลักษณ์และกดปุ่มให้ถูกต้อง เดี๋ยวมันก็ทำงานรับใช้เราเอง แถมยังมีตัวเลขชั้นโชว์ เมื่อมันถึงแต่ละชั้น ซึ่งอาจจะโชว์ไว้ด้านข้างประตู ซ้าย-ขวา หรือไม่ก็ด้านบน แล้วแต่การออกแบบลิฟท์นะคร๊าบ
เรื่องที่ 5. ขนมอร่อยมาแล้ว
…การทำอาหารของคนบ้านนอก ปกติแม่จะเป็นคนทำอาหาร โดยเฉพาะการทำห่อหมก ผมเคยเห็นแต่แม่ห่อใส่ใบตอง โดยมีรูปทรงเหมือนขนมใส่ไส้ แต่เมื่อครั้งที่ผมเคยไปทำงานที่ร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งในเมืองเป็นครั้งแรก
ได้กินห่อหมกแบบคนในเมืองเป็นครั้งแรก วันหนึ่งแม่บ้านเขาบอกไว้ในช่วงเช้าว่า เดี๋ยวเย็นวันนี้จะทำห่อหมกปลาช่อนไว้ให้กินนะ พอตกเย็นเขาก็เรียกให้เราไปกินข้าว พอผมเดินเข้าไปในครัว เข้าใจว่าห่อหมกที่วางบนโต๊ะคือ ขนมตะโก้ เพราะด้านบนห่อหมกมันก็ขาว เพราะถูกโรยหน้าด้วยกะทิเหมือนกัน
ด้วยความหิวผมจึงหยิบขึ้นมากัดกินด้วยความไม่รู้ อ้าวทำไม? ขนมตะโก้ของคนในเมือง รสชาติมันถึงแปลกๆ…อย่างนี้ เป็นอย่างไร ฮ่าๆๆ…ปรากฏว่ารสชาติมันไม่ใช่ขนม
ประสบการณ์ของชีวิต มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ โดยยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ก็มีอีกมากมาย เมื่อเราโตขึ้น จะทำให้เราได้รู้ว่า ไม่แปลกอะไรที่เราไม่รู้ ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด แต่หากไม่รู้แล้วไม่เรียนรู้ นั้นคือผิด
เรื่องขำๆ เปิ่นๆ บางอย่างมันขำๆ ได้ เพราะสามารถเรียนรู้และแก้ไขใหม่ได้ แต่การทำอะไรครั้งแรกและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจทำให้ชีวิตเราตกอยู่ในระหว่างเป็นและตายได้เท่าๆกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเรียนอย่างแท้จริงก่อนที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง หากใครมีเรื่องเด็ด ประสบการณ์ขำๆ เรื่องเปิ่นๆ แล้วช่วยทำให้คนอื่นเรียนรู้ไปด้วยกัน ช่วยคอมเม้น แบ่งปันประสบการณ์กันได้นะครับ
ชมคลิป https://www.youtube.com/watch?v=przS1Q3tO2E