เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร

มีคลิป VDO

เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร

              ทุกคนเกิดมาพร้อมกับตัณหา อุปทาน ความอยากมากมายหลากหลายที่แฝงอยู่ในตัวของพวกเรา  จึงทำให้พวกเราลืมว่าตนเอง   เกิดมาทำไม  เกิดมาเพื่ออะไร ไม่รู้ว่าจะทำอะไร และทำไปทำไม   ความรู้ที่มีก็เป็นความรู้ที่ได้รับการสืบทอดจากคนรุ่นก่อนหน้าที่เคยปฏิบัติกันมา เช่น  พ่อ-แม่เคยทำก็สืบทอดต่อๆกันไป  แต่ก็อาจจะมีบางคนที่หันตัวเองไปศึกษาเล่าเรียน จนสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเองได้

           แต่ทุกๆคนก็มีชีวิตที่ต้องตกอยู่ใน อุปาทะ ฐิติ ภังคะ  คือ การเกิด การตั้งอยู่ แล้วดับไป ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้ว  จึงมีความสงสารต่อสัตว์โลกที่เป็นไปอย่างนี้  พระองค์ท่านจึงได้บัญญัติหลักธรรม  โดยให้พระสงฆ์ทำหน้าที่เช่น เกจิอาจารย์ พระนักปฏิบัติต่างๆ เป็นผู้รับหน้าที่ในการ เผยแพร่ หลักธรรมคำสอน

       เหมือนกับการที่เราเกิดเป็นคน  ต่างก็ทำหน้าที่ของตนเอง  ผู้เป็นพ่อแม่ก็ต้องทำหน้าที่สอน อบรมบุตร-ธิดา ส่วนคนที่เป็นลูกเองก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอน  ในช่วงที่มาอยู่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้  ในช่วงแรกๆ หลวงตาเอง  ก็ต้องทำหน้าที่นี้   แต่พอต่อมาปีนี้เอง หลวงตา จึงเร่งศึกษาความรู้ใน

        ปฏิจจสมุปบาท  คือ ธรรมะ คือธรรมชาติ คือ หลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นได้เพราะการอาศัยกัน,  มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น จึงกลายเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอีกสิ่ง  เมื่อมีเหตุทำให้มันดับไปสิ่งเหล่านั้นที่อาศัยกันก็จะดับลง  ทุกๆคนที่เกิดมาก็จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้  มันเป็นกฎแห่งไตรลักษณ์  คือกฏความไม่แน่นอนของสังขารว่าด้วย การเกิด  แก่ เจ็บ ตาย  ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  ที่พวกเราทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี  ซึ่งก็อาจจะมีก็เพียงแค่เด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้ เพราะพวกเขายังไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมา  ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสว่า “กัมมุนา วัตตติโลโก” สัตว์โลกทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม

         แล้วหากจะให้พุดถึงเรื่องสวดมนต์ เมื่อก่อนหลวงตาก็สวดไปตามตัวหนังสืออย่างนั้น โดยที่ไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่งได้มาอยู่ป่า ได้มาฝึกพิจารณา  เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

ยัง กัมมัง กะริสสามิ…เราทำกรรมใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา…จะเป็นบุญหรือเป็นบาป
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ…เราจะเป็นทายาท เป็นผู้รับผลของกรรมนั้นสืบไป

              ทำให้รู้ว่า คนเราไม่ได้เกิดเพียงชาติเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดมากี่ชาติแล้ว อาจเป็นอนันตชาติที่นับไม่ได้ จะกี่ล้านหรือกี่แสนล้านชาติก็ไม่รู้ได้   อาจจะเคยเกิดเป็น พระอินทร์ พรหม เทวดา เจ้าฟ้า มหากษัตริย์ เป็นคนกระจอก หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์  ต่อมาพอหลวงตาได้มารำลึกถึง การปฎิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ว่าอนาคตยังมาไม่ถึง ให้อยู่กับปัจจุบัน   ทำให้รู้สติขึ้นมาได้ว่า คนเรากำลังจะหลงทาง ทำบุญก็หวังจะเป็นเทวดาจะได้ไปเสวยสุข แต่สุขของเทวดา ก็ไม่ปลอดภัย สุขของมนุษย์ก็ไม่ปลอดภัย

            ยังดีที่มนุษย์อย่างเราก็ยังได้เปรียบเทวดา มีสรีระ มีตัวตน สามารถไปทำบุญ สามารถสร้างกุศลได้ ไปฟังธรรมะได้  แต่เทวดาไม่มีตัวตน  แล้วมนุษย์เองก็ยังโชคดีที่มีพระพุทธศาสนา ที่มีหลักธรรมคำสอน ให้เราได้ฝึกฝน ได้ปฏิบัติ ไหว้พระสวดมนต์ เจริญสมาธิ อานาปานสติ มีสติปัญญาทำให้ได้รู้ถึง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย  (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

           ดังนั้นสิ่งไหนที่ทำมาไม่ดี ไม่ถูกต้องก็หยุด พอหยุดแล้ว ก็ไปทำกรรมดี จึงกลายมาเป็นบุญ เป็นกุศลได้ เช่น ในวัยเด็กเคยฆ่าสัตว์ พอโตขึ้นก็หยุด แล้วหันไปรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์

          ศีลมันเป็นฐาน  ศีลหมายถึงการงดเว้น  เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆนานเข้าๆจนกลายเป็นศีลอันบริสุทธิ์  จนสามารถรักษา กาย วาจา ใจ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดจาส่อเสียด  จนกลายเป็นคนที่มีศีลเข้าใจในธรรมะ   ธรรมะดีอยู่ในตนเอง  มีพ่อ มีแม่  มีพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์

          การได้ฟังธรรมะจะให้เราได้รู้ว่า  จะมีทุกข์ หรือมีสุขอยู่ในตัวของเรา  จะให้ทุกข์ไปตลอดก็ไม่ใช่  จะให้สุขไปตลอดก็ไม่ใช่  เพราะทุกอย่างเป็น อนัตตา มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นมา เติบโต แล้วแก่ แก่แล้วเจ็บ ต่อมาก็ได้พบเห็น พ่อ แม่ พลัดพลาดจากเราไป สิ่งที่เราเห็นนี้แหละ คือ การได้รู้สึกตัว

           อย่างที่เราได้มาทำบุญวันนี้  แสดงว่าพวกเราเริ่มรู้ตัวเองแล้ว   เพราะได้เดินอยู่บนเส้นทางชีวิตของตนเอง เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย ได้เริ่มสะสมคุณงามความดี อย่างน้อยๆก็ได้รักษาศีล 5  ได้ทำบุญทำทาน แล้วมากไปกว่านั้นก็ได้รู้จักการฟังเทศ การฟังธรรมะ  เพื่อมาจรรโลงจิตใจให้ได้เกิดปัญญา

        นอกจากนี้ หลวงตาก็อยากให้ทุกๆคน ได้กราบหมอนกราบที่นอนก่อนนอนและหลังจากตื่นนอน  กราบไปทำไมนะเหรอ   ก็เพื่อการระลึกถึงคุณของ   พ่อ-แม่ ที่พวกท่านได้เลี้ยงดูพวกเรามา พร้อมกับระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์   น้อมมาไว้ที่จิตที่ตัวเรา  แล้วให้ภาวนาต่อไปอีกว่า ไม่นานเราก็ต้องจากโลกนี้ไป โลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา ถึงแม้จะอยากมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้อยู่ วันหน้าเราก็ต้องตายจากไป และเอาอะไรไปไม่ได้

       เมื่อรำลึกไปเรื่อยๆ เราก็จะพบว่าเบาสบาย จนในที่สุดแล้ว  จะทำให้เราพบว่า มันยังไม่สมบูรณ์และยังไม่มั่นใจ  ก็ให้รีบเร่งทำให้สมบูรณ์ ด้วยการมองไปที่ลมหายใจเข้า-ออก   หากโยมถามว่า  ทุกวันนี้หลวงตาปฏิบัติธรรมอย่างไร  ก็ไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉยๆ ดูลมหายใจ แต่มันก็ไม่ใช่ของง่ายๆ  หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ เมื่อมั่นใจมันเผลอวอกแวกก็ให้กลับมาดูมันอีกครั้ง

      พระพุทธเจ้าท่านให้ดูตรงนี้ซึ่งพระองค์ท่านตรัสไว้ว่า  ตั้งแต่ที่เราเป็นโพธิสัตว์อยู่ โดยส่วนมากแล้วเราจะอยู่กับ อานาปานสติ   ดูลมหายใจ นอกเสียจากเวลาที่ท่านอธิบายธรรมเท่านั้นแหละที่พระองค์ท่านไม่ได้อยู่กับลมหายใจ ดังนั้นหลวงตาจึงอยากให้ปฏิบัติด้วยการดูลมหายใจ ของตนเอง  ถ้าเราปล่อยให้มันหายใจเอง มันก็เพียงแค่ ช่วยไม่ให้เราตายก็เท่านั้นเอง  แต่หากเราสามารถดูลมหายใจเข้า-ออกของตนเองได้  มันจะมีประโยชน์มหาศาล เพราะจิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน แต่หากปล่อยให้มันหายใจเองเราก็คิดไปเรื่อยเปื่อย  จิตฟุ้งซ่าน

      วิธีภาวนาดูลมหายใจก็มีหลายวิธีเช่น หายใจเข้ารู้-หายใจออกรู้, หายใจสั้นรู้ หายใจยาวรู้, พุท โธ, เกิด-ดับ มันก็จะเป็นบุญ เป็นกุศล หลวงตาก็อยากให้ภาวนาทุกๆ วัน  ก่อนนอนหลังตื่นนอนสัก 1, 2 นาที ถึง 5 นาทีได้ยิ่งดี หลังจากนั้นก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ให้แก่คุณบิดา-มารดา ปู่ย่าย-ตายาย แก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย ร่วมทั้งเจ้ากรรมนายเวร  หากท่านตกทุกข์ก็ให้พ้นจากทุกข์ หากท่านมีสุขก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป แล้วสุดท้ายก็ให้อธิฐานว่า ขอให้ข้าพเจ้าเข้าสู่นิพพานในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเถิด

       อย่าอธิฐานเหมือนที่หลวงตาเคยทำก่อนหน้า  ที่จะมาปฏิบัติว่า เกิดมาชาติหน้าฉันใดก็ขอให้…..อยุ่ดีมีสุข อย่าจน อย่ายากลำบากเหมือนทุกวันนี้เลย  แต่เมื่อหลวงตา รู้ตัวตื่น “อย่ามาเกิดอีกเลย ไม่เอาอีกแล้ว”  ทุกวันนี้เบื่อเกิด พบเจอกับตนเองแล้ว  เพราะพอหลังตื่นนอน  มันเจ็บปวดไปหมดทั้งตัวเลย  พอขยัยเขยื้อนตัวก็รู้สึกเจ็บแล้วค่อยๆดีขึ้น  ทุกๆท่านที่อายุใกล้ๆกับหลวงตา ก็คงรู้ดีเหมือนกับหลวงตานะ

      เอาละสุดท้ายก็ขอให้โยมปฏิบัติ กราบพระกราบหมอนก่อนนอน ระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา ดูลมหายใจเข้า-ออก อุทิศบุญกุศล เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆมันก็จะติดเป็นนิสัยเอง พอทำไปเป็นเรื่อยๆ ก็จะเกิดความศรัทธา กลายเป็นอุปนิสัย เป็นคนที่มีศีล มีธรรม มีปัญญา เกิดเป็นความตั้งใจมั่น มีความปิติในสิ่งที่เป็นธรรมะ ในที่สุดมันก็มีกับมี ดีกับดี  แล้วนิพพานก็จะเกิดขึ้นในภพนี้

พรจากหลวงตาหนู “ขอให้ทุกคนอยู่ในศีล ในธรรมทุกคนๆเถิด”  สาธุ

คำสอนของ หลวงตาหนู  สถานปฏิบัติธรรมพุทธเมตตา  ทุ่งนาโบน  ต.สวนเมี่ยง อ.ชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ในวันออกพรรษา ที่ 24 ตุลาคม 2561

 

บทความที่น่าสนใจ  ธรรมะเติมปัญญา เสริมบุญจากการถวายสังฆทาน

 

 

You may also like...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *