ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่ต้องรู้ก่อนที่จะเป็นอันตรายต่อคุณและคนรัก
เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ประดิฐสิ่งต่างๆขึ้น เพื่อสร้างความสะดวกสบายและความเจริญก้าวหน้าให้แก่มนุษย์ ซึ่งคงไม่มีใครสามารถประฎิเสธได้ว่า เราไม่ได้สัมผัสกับอุกรณ์เหล่านี้อันได้แก่ ไมโครเวฟคอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ เครื่องถ่ายเอกสาร นอกจากประโยชน์ของมันแล้ว แต่ใครเคยรู้ด้านมืดของมันหรือไม่ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย ซึ่งเรามาทำการเรียนรู้ ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า ดังนี้
ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า จากโทรศัพท์มือถือ Mobile Phone
เมื่อสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์เราไปแล้ว เพราะมันสามารถสร้างความสะดวกในการสื่อสาร การทำธุรกิจ การทำธุรกรรมทางการเงินและการธนาคารเช่น สั่งซื้อสินค้า จึงทำให้เกิดธุรกิจต่างๆมากมาย และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือคนใช้สมาร์ทโฟนตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึงคนแก่ ชีวิตประจำวันของจำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกัน และโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นอุกรณ์ที่ดีที่สุดที่สามารถติดต่อกันได้ และเจ้าโทรศัพท์นี้อาศัยการปล่อยคลื่นสัญญาณในการสื่อสาร โดยในประเทศไทยใช้คลื่นวิทยุความถี่ 850 900 1800 2100 2300 MHz นอกจากนี้ในโทรศัพท์มือถือยังมีปล่อยรังสี ประเภท นัน-ไอออนไนซ์ (Non-ionizing radiation) เรียกว่า รังสีเรดิโอฟรีเควนซี หรือเรียกย่อว่า รังสีอาร์เอฟ (Radio frequency radiation, RF radiation) ซึ่งรังสีประเภทนี้ อาจทำให้ ดีเอ็นเอของเซลล์ หรือ สารพันธุกรรมสำคัญในการเจริญเติบโตของเซลล์ เกิดการบาดเจ็บเสียหาย โดยไม่ได้มีการแตกตัวของ DNA เป็นประจุลบและประจุบวก โดยเซลล์จะได้รับการบาดเจ็บมากหรือน้อยนั้น ขึ้นกับปริมาณรังสีที่เซลล์ได้รับ
ปรากฏการที่เกิดขึ้นในประเทศ แคนนาดา ในปี 2550 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำการสุ่งตรวจสอบการปล่อยคลื่นรังสีโทรศัพท์ และมีการเรียกเก็บ โทรศัพท์ที่ปล่อยคลื่นรังสีเกินค่ามาตรฐาน แล้วถามว่าประเทศไทยเราได้ควบคุมเรื่องนี้หรือไม่ ?
กลไกลของร่างกายเมื่อได้รับรังสี
เมื่อร่างกายได้รับปริมาณคลื่นรังสีเป็นระยะเวลานานและในปริมาณมากเกินไป จะทำให้ร่างกายสร้างกลไกล เพื่อไปซ่อมแซม เซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เซลล์ที่ได้รับการซ่อมแซมเซลล์เหล่านั้นอาจกลายพันธ์เป็นเซลล์ผิดปกติเช่น เซลล์เนื้องอก เซลล์มะเร็งเป็นต้น
ถึงแม้ว่า การศึกษาหลายๆครั้ง ยังไม่พบการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับโรคเนื้องอกในสมองและระบบประสาทส่วนกลาง แต่ทางสถาบันมะเร็งสหรัฐของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กได้เตือนให้ ประชาชนในสหรัฐระมัดระวังการเลือกซื้อโทรศัพท์ที่มีอัตราการปลดปล่อยรังสี หรือค่าเอสเออาร์ต่ำ และควรใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ส่วนต่างๆของร่างกาย ได้รับปริมาณรังสีมากจนเกินไป โดยแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เช่นหูฟังจะดีกว่า หรืออาจจะเป็นการส่งข้อความแทนพูดโทรศัพท์นานๆ
ขณะที่ผลการศึกษาหลายครั้งในปี 2550 ของฝรั่งเศสและนอร์เวย์ ก็ได้ผลสรุปเช่นเดียวกัน และจากการติดตามศึกษาผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือมานานกว่า 10 ปี จำนวน 420,000 คน ไม่พบว่าโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการศึกษาที่ฝรั่งเศส ในปี 2550 ยังพบว่า ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือตามปกติ ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า ความเสี่ยงของเนื้องอกในสมองจะเพิ่มขึ้น แต่มีความเป็นไปได้ที่โอกาสเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในรายที่ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าปกติ ซึ่งยังต้องทำการทดลองเพิ่มเติมอีกในอนาคต แม้ผลการวิจัยจะยังไม่ชี้ชัด แต่ทางที่ดีก็ควรจะกันไว้ดีกว่าแก้. – สำนักข่าวไทย 2009-04-09 14:26:42
ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีใกล้ตัว ต่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์และทารก
เรื่องใกล้ตัวอันน่ากลัว…ระหว่างเด็กๆ กับโทรศัพท์มือถือ !!!!!
รายงานการวิจัยเรื่องคลื่นโทรศัพท์ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี จากหลายๆ สถาบันได้ผลรายงานที่ตรงกันว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือมีผลทำให้พัฒนาการทางสมองของเด็กๆ หยุดพัฒนา และอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งทั้งในเม็ดเลือดขาว และระบบเส้นประสาทในสมองด้วย
อย่างการรายการงานของ ศาสตราจารย์ เรนเนิร์ด ฮาร์เดล แห่ง มหาวิทยาลัยแพทย์ ในเมือง โอเรอบลอ, สวีเดน รายงานต่อที่ประชุมของมหาวิทยาลัยว่า “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือในเด็กวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีนั้นก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงเป็นมะเร็งในเซลเส้นประสาทสมองส่วนกลางอย่างมาก เพราะเด็กในวัยนี้เซลสมองและเซลประสาทกำลังมีการพัฒนาให้เจริญเติบโต หากได้รับการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากๆ จะทำให้เซลสมองได้รับผลกระทบโดยตรง จนหยุดการเจริญเติบโต หรือถึงขั้นเป็นมะเร็งในสมองได้”
ในขณะเดียวกัน นายเดวิด คาร์เพนเตอร์ หัวหน้าคณะวิทยาลัยการสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ได้สนับสนุนคำกล่าวของศาสตราจารย์ ฮาร์เดลว่า “ในปัจจุบันจากการศึกษาของเราพบว่าวัยรุ่นที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่เด็ก แล้วเติบโตขึ้นมาอายุระหว่าง 15 -20 ปีมีสิทธิ์เป็นมะเร็งสมองเพิ่มมากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว ซึ่งเราต้องเร่งป้องกัน และแก้ไขกันอย่างจริงๆ จังๆ ก่อนที่จะเกิดวิกฤติทางสาธารณสุขมวลชนได้ในอนาคต”
และเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้กลุ่มรัฐบาลในกลุ่มสหภาพยุโรปได้มีการประชุม และลงมติ 522 ต่อ 16 เสียง ให้มีการกำหนดระดับสัญญาณความถี่ในโทรศัพท์มือถือ, โทรศัพท์ไร้สาย, สัญญาณ Wi-Fi ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันส่งผลและเป็นอันตรายต่อเซลสมอง และเซลประสาทส่วนกลางของเด็กโดยตรง
แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่การลงมติของการประชุมครั้งนี้ ไม่มีผลต่อข้อเสนอให้มีกฏหมายข้อบังคับและจำกัดการใช้งานโทรศัพท์มือถือในเด็ก และเยาวชนแต่อย่างใด เพราะในที่ประชุมไม่มีใครลงมติต่อข้อเสนอดังกล่าว ได้แต่เพียงสนับสนุนข้อเสนอในการจำกัดคลื่นความถี่ และรณรงค์ให้ความรู้เพิ่มเติมกับผู้บริโภคต่อไป
หน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีของโทรศัพท์ไร้สาย หรือ “WTR” (Wireless Technology research) ได้ทำการศึกษาผลข้างเคียงจากการใช้โทรศัพท์มือถือมานานร่วม 7 ปีก่อนจะมีรายงานสรุปผลออกมาสู่สาธารณชนว่า รังสีไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเครื่องโทรศัพท์มือถือนั้นมีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด แต่สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ระดับความถี่ของรังสีไมโครเวฟแต่เป็นช่วงระยะเวลาของการใช้งาน ดังนั้นผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยต่อเนื่องกันนานๆ มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่งเรียกกันทางการแพทย์ว่า “Neuroepithelial Tumors”
Dr.Lennart Hardell ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งจากสวีเดนกล่าวว่ามีข้อบ่งชี้ทางชีววิทยาว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในสมองสูงถึง 2.5 เท่า เมื่อมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
Dr.George Carlo กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถจะออกมาบอกประชาชนได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งที่ค้นพบคือดำหรือขาวแต่ให้นึกถึงความเป็นกลางซึ่งเปรียบเสมือนสีเทาและแนะนำว่าทุกคนควรมองปัญหานี้ด้วยความระมัดระวังมากๆ ส่วนหนึ่งของรายงานเรื่อง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน โดย ศ.นพ. สุรพลอิสรไกรศีล สาขาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่ามีรายงานว่า การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและเนื้องอกในสมอง และมีรายงานจากประเทศเดนมาร์ก พบว่า ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเวลานานกว่า 3 ปีขึ้นไปมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรค อย่างไรก็ดี จากการศึกษานี้ ไม่พบความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวอย่างมีนัยสำคัญ
ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า จากคอมพิวเตอร์ COMPUTER
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างมากผู้ที่ทำงานออฟฟิศรวมทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ทำงานนอกบ้านบางครั้งต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมงอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์นานขนาดนี้จะมีผลอะไรหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้มีทั้งผู้ที่คิดว่ามีผลและไม่มีผลซึ่งจะขอยกตัวอย่างทั้งสองแนวคิดไว้ดังนี้ ในต่างประเทศพบว่ามีผู้ที่ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ถึงกับช็อกมาแล้ว สาเหตุมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่รังสีออกมา บางคนประสาทตาเสียมีอาการปวดศีรษะปวดตาอาเจียนเพราะโมเลกุลในร่างกายเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดภาวะแรงตึงผิวเพิ่มขึ้นมาก ในประเทศออสเตรเลียมีข่าวผ่านสื่อออกมาว่าผู้ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มีโอกาสเป็นมะเร็งสมองเพิ่มขึ้น เพราะสนามแม่เหล็กที่ส่งผ่านออกมาจากจอมอนิเตอร์หรือจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอด Cathode-ray โดยมีแรงสนับสนุนยืนยันจากการศึกษาวิจัยที่เรียกว่า Adelaide Study ซึ่งเจาะจงศึกษามะเร็งสมองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Glioma และศึกษาเรื่องการได้รับสนามแม่เหล็กกับมะเร็ง
นอกจากนั้นยังพบว่าผู้หญิงมีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูงขึ้น แต่เป็นเพียงแค่สมมุติฐานหนึ่งเท่านั้น เพราะจากการวิจัยพบว่ายังมีส่วนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหลายอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดหมายจึงไม่สามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจ
มีงานวิจัยมากกว่า 30ชิ้นที่รายงานผลการศึกษาในผู้ใหญ่ที่ทำงานในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กสูงพบว่าเป็นมะเร็งหลายชนิด (ที่พบบ่อยคือมะเร็งในเม็ดโลหิตมะเร็งสมอง หรือมะเร็งทรวงอก)นอกจากนั้นยังมีรายงานวิจัยบางชิ้นที่เกี่ยวกับสตรีมีครรภ์ที่ได้รับสนามแม่เหล็กสูงพบว่ามีผลร้ายต่อครรภ์ในอัตราที่สูงกว่าที่คาดคิด
มีรายงานการวิจัยของต่างประเทศสรุปออกมาว่ารังสีของเครื่องคอมพิวเตอร์มีผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายคนเรา เช่น หญิงที่นั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวันโอกาสตั้งครรภ์จะน้อยมากเด็กและหญิงมีครรภ์ไม่ควรอยู่ใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอันตรายจากรังสีคอมพิวเตอร์มีอยู่มากมายเช่น
– คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์ทำให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมของร่างกายทำงานเร็วขึ้นทำให้ง่ายต่อการเป็นมะเร็ง
– รังสีจากคอมพิวเตอร์ และมอนิเตอร์ และAccessories ต่างๆมีผลให้เด็กในครรภ์ผิดปกติ แท้งหรืออาจจะคลอดก่อนกำหนด
– รังสีจากคอมพิวเตอร์ และมอนิเตอร์ทำให้เยื่อจมูกอักเสบปวดศรีษะ นอนไม่หลับ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ
เกี่ยวกับเรื่องการได้รับรังสีที่แผ่มาจากสนามแม่เหล็กอย่างอ่อนๆที่มาจากคอมพิวเตอร์ว่ามีผลเสียต่อสุขภาพนั้นมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเพราะยังไม่มีรายงานถึงการผลการวิจัยที่แน่นอนออกมาเนื่องจากบางครั้งผลการทดลองมีความไม่แน่นอนสูงจึงไม่ยืนยันต่อผลกระทบดังกล่าว
โดยในช่วง20กว่าปีที่ผ่านมามีการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลายในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสายตาและต้อกระจกปัญหาความผิดปกติของทารกในครรภ์และปัญหาผื่นคันตามผิวหนัง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO press release, 1998)ได้สรุปไว้ดังนี้คือ
ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาสายตาและต้อกระจกในการทำงานกับคอมพิวเตอร์แต่อาจพบปัญหาตาล้าและอาการปวดศีรษะได้จากการเพ่งมองจอภาพคอมพิวเตอร์ที่มีแสงจ้าหรือแหล่งแสงสว่างสะท้อนอยู่ที่จอภาพเป็นเวลานาน
รายงานการศึกษาวิจัยทางระบาดวิทยาและการศึกษาในสัตว์ทดลองหลายๆฉบับไม่สามารถอธิบายได้ถึงผลกระทบของรังสีคอมพิวเตอร์ที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรก็ตามปัญหาความเครียดความกังวลและท่าทางของการทำงานที่ต้องนั่งเป็นเวลานานๆซึ่งเป็นปัจจัยทางเออร์โก-โนมิคส์อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ ปัญหาผื่นคันตามผิวหนังในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการว่ามีสาเหตุมาจากการสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงคลื่นความถี่ที่แผ่ออกมาจากจอภาพคอมพิวเตอร์
ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า จากไมโครเวฟ MICROWAVE
ผลจากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ารังสีไมโครเวฟสามารถทำลายเซลล์ประสาท และเซลล์ตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์มารดา ทำให้เป็นโรคต้อกระจก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของโลหิต และยังเป็นสาเหตุของความอ่อนแอในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย
ข้อมูลจากหนังสือ “การก่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บและการป้องกัน”เขียนโดย ดร. หงซานเปิ่น(ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการมหาวิทยาลัยสิงคโปร์) กล่าวถึงผลร้ายที่เกิดจากไมโครเวฟว่า มีรายงานมากมายที่ทำในประเทศรัสเซียเยอรมัน และ สวิสเซอร์แลนด์พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมองลดลงสมองเสื่อม ความยาวของคลื่นสมองสั้นลง บนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก มีการระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟจะไปทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์เสียหมด
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดย ศ.นพ. สุรพล อิสรไกรศรีสาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช พบว่าการมีโอกาสสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ภายในบ้านเรือนที่มีคลื่นแม่เหล็ก เช่น การใช้เครื่องเป่าผม คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เตาอบไมโครเวฟ และการอาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีสายไฟฟ้าแรงสูง พบว่ากลุ่มที่มี Relative risk สูงอย่างมีนัยสำคัญ คือการที่อาศัยหรือทำงานอยู่บริเวณใกล้ที่มีสายไฟฟ้าแรงสูงกับการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ชนิด AML ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ
ภัยเงียบอุปกรณ์ไฟฟ้า จากเครื่องถ่ายเอกสาร COPY MACHINE
เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่คุณแม่ท้องหลายท่าน ซึ่งเป็นพนักงานในออฟฟิศ และต้องถ่ายเอกสารเป็นประจำหรือมีที่นั่งใกล้กับเครื่องถ่ายเอกสาร มีความวิตกกังวล และมีข้อสงสัยว่าจะเป็นอันตรายกับลูกในท้องหรือไม่
คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์กิจกรรม 5 สกองทัพเรือกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เครื่องถ่ายเอกสารเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยส่งผลต่อสุขภาพของผู้ใช้อย่างไม่รู้ตัวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ให้มากขึ้น
อันตรายที่ได้รับ
-
ก๊าซโอโซน เกิดจากการอัดและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งและกระดาษโอโซน บางส่วนเกิดจากการปล่อยแสงเหนือม่วง (UV) จากหลอดไฟฟ้าพลังงานสูงของเครื่องถ่ายเอกสารส่งผลให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก และ คอทำให้หายใจสั้นวิงเวียนและปวดศีรษะเป็นสาเหตุของความล้า และการสูญเสียประสาทรับรู้กลิ่นด้วยคนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืดไม่ควรสัมผัสโอโซนเลย
-
ฝุ่นผงหมึก เครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้งประกอบด้วย ผงคาร์บอนผสมกับเรซิน หรือ ผงคาร์บอนผสมกับพลาสติกเรซิน ส่วนเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกผงหมึกจะละลายในสารละลายอินทรีย์พวกปิโตรเลียม ซึ่งมีอันตรายจากส่วนประกอบที่เป็นสารเคมี ทั้งสิ้น การหายใจเอาผงหมึกเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจมีอาการไอ และจาม
นอกจากนี้สารไนโตรไพรินซึ่งพบในผงคาร์บอนดำ และไตรไนโตรฟูโอรีน (TNF) ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์อีกด้วย
-
แสงเหนือม่วง (รังสียูวี) รังสีจะแผ่ออกมาจาหลอดไฟพลังงานสูงภายในเครื่อง ขณะที่มีการถ่ายเอกสาร ทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตา และมีผื่นคันตามผิวหนัง แต่มีผลน้อยมาก
-
สารละลายอินทรีย์จำพวกปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน เป็นตัวทำละลายในผงหมึกของเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียก ทำให้เกิดการระคายเคืองตา ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ เกิดอาการแพ้ และเป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
-
สารเคมีอื่นๆเช่น ซีลีเนียมแคดเมียมซัลไฟด์ ซิงค์ออกไซด์ และโพลิเมอร์ซึ่งถูเคลือบไว้ที่ลูกกลิ้ง มีลักษณะเป็นสารนำแสงทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ตา และชั้นเยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร ตลอดจนเป็นสารก่อมะเร็ง แต่สารเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาในปริมาณน้อยมากเกินกว่าที่จะตรวจสอบได้
บทความที่น่าสนใจ โรคกระดูกพรุน ภัยเงียบที่เราไม่รู้ แต่ทำให้ กระดูกไม่แข็งแรง กระดูกบาง แตกหักง่าย
คลิปเครื่องหยอดเหรียญ ลงทุนหลักหมื่น กำไรเป็นแสน https://www.youtube.com/watch?v=-evN8YoIS8E&t=209s