โอเมก้า 3 (Omega-3) คืออะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?
โอเมก้า 3 (Omega-3) กับสุขภาพร่างกาย ในอดีตเราเชื่อกันว่าโรคต่างๆจะเกิดขึ้น ก็เมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะเมื่อเราแก่ตัวอวัยวะต่างๆในร่างกายก็จะเสื่อมสภาพลงตามอายุการใช้งานที่มากขึ้น เซลล์แก่ชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ความยืดหยุ่นและระบบซ่อมแซมการสึกหรอ จนทำให้การฟื้นฟูสภาพทำได้ช้าลง เมื่อระบบภูมิคุ้มกันต่างๆลดลง จึงทำให้เชื้อโรคต่างๆสามารถแพร่กระจายไปตามอวัยวะต่างๆได้ง่ายขึ้น
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะโรคเสื่อมต่างๆเช่น ความดัน โรคหัวใจ มักเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลง ซึ่งต้นเหตุของปัจจัยที่เกี่ยวข้องนั้น เกิดขึ้นจากระบบหลอดเลือด เพราะหลอดเลือดเป็นตัวเชื่อมโยง ที่นำน้ำ สารอาหาร ฮอร์โมนและแร่ธาตุต่างๆ ส่งไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆตามอวัยวะในร่างกาย
ดังนั้นถ้าหากระบบหลอดเลือดดี ผิวผนังหลอดเลือดเรียบมีความยืดหยุ่น อวัยวะต่างๆก็จะได้รับอาหารที่เราบริโภคเข้าไปครบถ้วน ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ตรงกันข้ามหากหลอดเลือดมีปัญหา มันก็จะกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายอ่อนแอและเกิดโรคต่างๆได้ง่ายขึ้น แล้วถ้าหากปัญหาระบบหลอดเลือดเกิดขึ้นกับอวัยวะที่สำคัญๆ โดยเฉพาะสมองและหัวใจ นั้นหมายถึงการจบชีวิต
ดังนั้นจึงควรหันมาใส่ใจต่อระบบหลอดเลือดกันให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อไปนี้เราจะไปทำความรู้จักสารอาหารที่สำคัญต่อระบบหลอดเลือด ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบหลอดเลือด เพราะมันช่วยให้ผิวผนังหลอดเลือดเรียบ แข็งแรงและมีความยืดหยุ่น เราเรียกกรดไขมันชนิดนั้นว่า โอเมก้า 3 (Omega-3 fatty acids)
สาเหตุและการเกิดปัญหาของระบบหลอดเลือด
-
ผนังระหว่างหลอดยึดติดกันไม่ดี โดยโครงสร้างของหลอดเลือดมี 3 ชั้นด้วยกัน แบ่งอกเป็นชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน ซึ่งในระหว่างชั้นนั้น จะมีกาวเป็นตัวเชื่อมเพื่อทำให้ผนังของหลอดเลือดยึดติด เราเรียกชื่อกาวนั้นว่า “คอลลาเจน” ถ้าร่างกายขาดคอลลาเจนก็จะทำให้ผนังหลอดเลือดยึดติดกันไม่ดี เมื่อผนังหลอดเลือดแต่ละชั้นห่างกัน ผลที่เกิดขึ้นตามก็คือ ขนาดของหลอดเลือดชั้นในจะเล็กลง จนกลายเป็นเส้นเลือดตีบ ก็จะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
-
ผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บ เมื่อมีอะไรบางอย่างไปทำให้ผิวด้านในของหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บหรือฉีกขาด หลังจากนั้นร่างกาย จะมีระบบการซ่อมแซม ซึ่งลักษณะการซ่อมแซมของเส้นเลือดก็เหมือนกับการ ปะ ชุน เสื้อผ้าที่ขาด ผิวหลอดเลือดก็จะไม่เรียบและเกิดการแข็งตัวคล้ายๆ กับการมีตระกรันไปเกาะ ทำให้รูของหลอดเลือดเล็กลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่ดี เซลล์ต่างๆตามอวัยวะในร่างกายก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
-
หลอดเลือดอักเสบ ปกติรูปแบบการอักเสบที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคนเรา มีให้เห็นอยู่สองลักษณะด้วยกัน คือ การอักเสบภายนอกเช่น โดนมีดบาดเราก็เจ็บซึ่งสามารถมองเห็นลักษณะของบาดแผลและสามารถรักษาได้ง่าย ส่วนอีกหนึ่งลักษณะคือ เกิดการอักเสบภายใน อย่างการเป็นฝีมีหนอง ซึ่งลักษณะการอักเสบของหลอดเลือดก็มีลักษณะคล้ายๆกับอวัยวะต่างๆของเรา เกิดการอักเสบได้เช่นกัน โดยงานวิจัยของ ดร.อลัน ไรอัน พบว่า โรคหัวใจไม่ได้มีสาเหตุเกิดจากไขมันและคอเลสเตอรอลสูง แต่มันมีความสอดคล้องกับการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการอักเสบนั้นเป็นเพราะ การกินไขมันเลว ของหวาน แป้งและน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกาย
เมื่อหลอดเลือดมีปัญหาจะทำให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ดังนี้
โรคเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ หัวใจทำงานหนัก หัวใจวายเฉียบพลัน
โรคเกี่ยวกับสมองได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบ หลอดเลือดสมองอักเสษ โดยโรคที่เกิดขึ้นตามมาคือโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ (Brain stroke) ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง ของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าโรคหลอดเลือดเป็นโรคไม่ติดต่อ แต่มีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆ มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาหลอดเลือด ซึ่งมีอัตราการตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรดไขมัน โอเมก้า 3 กับโรคหลอดเลือดมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ไขมันหรือกรดไขมันนับได้ว่าเป็น 1 ในสารอาหาร 5 หมู่ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่กรดไขมันบางชนิดก็มีโทษต่อร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดได้รับบาดเจ็บได้เช่นกัน ซึ่งไขมันที่เราบริโภคเข้าไปมี 2 ประเภทคือ
1.ไขมันที่ทำให้เกิดการอักเสบ อันได้แก่ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โดยได้รับจากการกินเนื้อสัตว์บก และการบริโภคน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหาร ” เรื่องน่ารู้ ” น้ำมันพืชมักจะเติมแต่งสารบางอย่าง เพื่อกันหืน แต่ถ้ายังอยู่ในขวดจะไม่เป็นไร แต่เมื่อนำมันไปผ่านความร้อน ที่เกินร้อยองศาจะเป็นอันตราย โดยเฉพาะการใช้น้ำมันซ้ำๆ ก็จะทำให้น้ำมันนั้นกลายเป็นไขมันทรานต์ และนอกจากนี้แล้ว ยังมีไตรกลีเซอไรด์ที่สร้างจากตับ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เส้นเลือดเกิดการอักเสบได้เช่นกัน
2. กรดไขมันที่ลดการอักเสบหรือกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง อันได้แก่ ” โอเมก้า 3 ” มีชื่อเรียกทางสามัญอีกอย่างหนึ่งว่า กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก EPA(Eicosapentaenoic acid) & กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ได้จากสัตว์เช่นกัน กรดไขมันชนิดดีนี้ ร่างกายสามารถขาดได้ โดยไม่มีผลกระทบแต่อย่างไรต่อร่างกาย แต่ก็เป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็น เพราะมีประโยชน์มาก
ประโยชน์ของ โอเมก้า 3 มีดังนี้
-
ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ยืดหยุ่น ถึงระดับหลอดเลือดฝอย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว ลดการบาดเจ็บและลดการอักเสบภายในหลอดเลือด
-
ช่วยทำให้เซลล์แข็งแรง เซลล์ซึ่งสิ่งที่เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในร่างกาย หากเซลล์ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ก็จะทำให้เซลล์แข็งแรง เมื่อเซลล์แข็งแรงสมบูรณ์ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายแข็งแรง
-
ช่วยให้น้ำเลือดไม่ข้น ไม่หนืด ละลายลิ่มเลือด เมื่อความหนืดของเลือดลดลง ก็จะทำให้การสูบฉีดเลือดทำได้ดี แรงดันในหลอดเลือดลดลง จึงช่วยลดการทำงานของหัวใจ เมื่อหัวใจทำงานลดลง ปัญหาอันเกี่ยวกับโรคหัวใจก็จะน้อยลง
-
ลดอัตราการเกิดโรคเสื่อม เมื่อหลอดเลือดแข็งแรง ก็สามารถยืดเวลาของการเกิดโรคเสื่อมต่างๆได้ช้าลง เช่นโรคมะเร็ง เบาหวานเป็นต้น
-
ช่วยทำให้ผิวของเส้นเลือดเรียบขึ้น จึงทำให้เลือดฝอยทำงานได้ดี ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดี
-
ช่วยกำจัดและลดปริมาณไขมันอิ่มตัว โอเมก้า 3จึงสามารถช่วยลดไขมันในช่องท้อง และไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายได้
-
ลดอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ ลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอักเสบที่เป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์ โรคอัมพาต
-
ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย จากการปรับสมดุลฮอร์โมน เมื่อสารสื่อประสาทต่างๆ ที่ถูกส่งผ่านไปกับน้ำเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้การหลั่งฮอร์โมนไปยังส่วนต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น
-
ช่วยกำจัดไขมันเลว ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ที่สะสมในร่างกายได้ น้ำมันปลาสามารถลดระดับของไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงกว่า น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันดอกคำฝอย ผู้ชายที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง เมื่อให้กินน้ำมันปลาประมาณ 18 ออนซ์ต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง และระดับเอชดีแอลโคเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น
-
คนที่มีความเครียดอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า ร่างกายขาด DHA ในปริมาณที่เหมาะสม กรดโดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก จะเข้าไปเสริมสร้างการเจริญเติบโต ปลายประสาทของเซลล์สมอง ซึ่งทำหน้าที่ ถ่ายทอดสัญญาณและส่งผ่านข้อมูล ระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น การรับประทานอาหารแล้วได้สารอาหาร DHA จำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ความเครียดจะลดลงและ สมองทำงานได้ดียิ่งขึ้น
-
ผู้สูงอายุมักจะเกิดภาวะ สมองเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ได้ง่ายกว่าคนในวัยอื่นๆทั่วไป แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดจากสาเหตุอะไร จากการทดลองที่ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการให้กรด DHA โดโคซาเฮ็กซาอีโนอิก แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ พบว่าประสิทธิภาพความสามารถในการคำนวณและความสามารถในการตัดสินใจดีขึ้น และผลจากการทดลองกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับ DHA เป็นเวลา 6 เดือน จะมีอาการที่ดีขึ้น มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ DHA อย่างเห็นได้ชัด
-
นอกจากนี้สถาบันวิจัยนานาชาติพบว่า DHA ยังช่วยพัฒนาเซลล์สมองของเด็ก พัฒนาระบบจอประสาทตา ส่งผลดีต่อระบบฮอร์โมนต่างๆ ของหญิงตั้งครรภ์ให้ทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อร่างกายแม่ทำงานได้ดี ก็จะช่วยทำให้ทารกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ขึ้น มีการเจริญเติบโตได้ดี
-
โอเมกา 3 (Omega3) ช่วยทำให้ระบบประสาทและสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ และกระตุ้นการสร้างสารเคมีซีโรโทนินในสมอง ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการซึมเศร้า
แหล่งอาหารที่ให้กรดไขมันดีหรือ โอเมก้า 3 มีดังนี้
เมื่อรู้ว่าโอเมก้า 3 ส่งผลดีต่อการเกิดโรคเสื่อมและสามารถลดโรคอันเกิดจากหลอดเลือดเสื่อมได้ ดังนั้นหลายคนคงอยากรู้ว่า จะหาโอเมก้า 3 (Omega3) ได้จากการกินอาหารประเภทใดบ้าง โอเมก้า 3ชนิดดีมีอยู่มากในสัตว์ทะเลโดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เพราะไม่มีสารพิษอย่างอื่นตกค้าง นอกจากนี้ยังมีใน ไข่ ปลาน้ำจืดบางชนิด ถั่ว และผักบางชนิด
ซึ่งข้อมูลงานวิจัยด้านอาหาร ของสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า คนไทยมีความเข้าใจผิดว่า กรดไขมันโอเมก้า 3 มี เฉพาะในปลาทะเล แต่ความจริงแล้ว ปลาน้ำจืดก็มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาบางชนิดมีโอเมก้า 3 สูงกว่าปลาทะเล โดยเปรียบเทียบในปริมาณ 100 กรัมเท่ากัน จะพบว่าปลาสวยเนื้อขาว มีโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ปลาช่อนมีโอเมก้า 3 ถึง 870 มิลลิกรัม แต่ ขณะที่ปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 ประมาณ 1,000-1,700 มิลลิกรัม และปลากะพงขาวมีโอเมก้า 3 เพียงประมาณ 310 มิลลิกรัม เท่านั้น
” นายสง่า ดามาพงษ์ นายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย กล่าวไว้ว่า “อาหารทะเลแปลกๆ หรือปลาราคาแพงๆ จากเมืองนอกไม่ได้มี คุณค่าทางอาหารดี ไปกว่า อาหารทะเลสดๆของไทย เช่นเดี่ยวกับ การบริโภคอาหารเพื่อให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงร่างกายนั้น ก็สามารถพบได้ใน ปลาช่อน ปลาทู หรือปลาเกือบทุกชนิด เพราะฉะนั้น ควรกินปลาให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 มื้อ และเพื่อความปลอดภัย ไม่ควรกินอาหารชนิดเดียวกันซ้ำๆ ควรกินอาหารหลากหลายชนิด เพื่อร่างกายจะได้ประโยชน์จากสารอาหารหลายๆ ประเภท และได้สารอาหารที่ครบห้าหมู่ และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ปริมาณที่แนะในการรับประทานโอเมก้า 3
ในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดที่ออกมาแนะนำปริมาณในการปริโภคกรดไขมันโอเมก้า 3 DHA แต่มีแสดงอย่างชัดเจนและรับรองโดยสถาบัน EFSA: European Food Safety Authority ของยุโรปแนะนำให้ทาน 250 มิลลิกรัมต่อวัน แสดงให้เห็นว่าโอเมก้า 3 ได้รับการยอมรับแล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อสมองและหัวใจ
บทความที่น่าสนใจ ประโยชน์วิตามินซี vitC
1 Response
buy viagra
WALCOME